นวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อโคและแพะคุณภาพสูงเพื่อการประกอบการ (หลักสูตร Non-Degree)

การเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติที่เกี่ยวกับการทำ แกงมัสมั่นเนื้อ เป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการทำอาหาร แต่ยังเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องของการเลือกวัตถุดิบ การปรุงรส และการปรับรสชาติให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน โดยเฉพาะในขั้นตอนของการปรุงแกงมัสมั่นเนื้อ ซึ่งเป็นอาหารไทยที่มีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมจากเครื่องเทศต่างๆ โดยกิจกรรมในส่วนปฏิบัติที่ผู้เรียนลงมือทำ แกงมัสมั่นเนื้อ เป็นการเรียนรู้ที่เน้นการฝึกทักษะและการประยุกต์ใช้เทคนิคต่างๆ ที่สำคัญในการทำอาหาร ช่วยเพิ่มประสบการณ์และความมั่นใจให้กับผู้เรียนในการทำอาหารไทยที่มีความซับซ้อน พร้อมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับรสชาติและการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ
ขั้นตอนการสอนและกิจกรรม
1. เตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบ
ก่อนเริ่มทำการสอนผู้เรียนจะได้รับการแนะนำเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำแกงมัสมั่นเนื้อ เช่น หม้อ, กระทะ มีด, เขียง, ช้อนตัก, และภาชนะสำหรับการเตรียมวัตถุดิบ พร้อมทั้งการจัดเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็น
• เนื้อวัวหั่นชิ้นพอดีคำ
• มันฝรั่ง (หั่นสี่เหลี่ยม)
• หอมใหญ่, กระเทียม, ขิง, ตะไคร้
• พริกแห้ง, ผงมัสมั่น, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, กะทิ
• เครื่องแกงมัสมั่น
2. วิธีการปรุง
• การเตรียมเครื่องแกง: สอนการโขลกเครื่องแกงมัสมั่นที่ประกอบด้วยพริกแห้ง, หอมแดง, กระเทียม, ขมิ้น, ลูกผักชี, ยี่หร่า, และพริกไทยดำ
• การผัดเครื่องแกง: ใส่น้ำมันลงในกระทะแล้วนำเครื่องแกงที่โขลกแล้วลงผัดจนหอม
• การทำแกง: ใส่เนื้อวัวลงไปผัดให้เนื้อเกือบสุก จากนั้นใส่กะทิ, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, และปรุงรสตามต้องการ
• การต้มจนเนื้อนุ่ม: ใส่มันฝรั่งและตะไคร้ลงไป ต้มจนเนื้อวัวนุ่มและมันฝรั่งสุก
• การปรับรสชาติ: ตรวจสอบรสชาติของแกงและปรับรสชาติตามที่ต้องการ เช่น เพิ่มน้ำตาลปี๊บหรือเกลือเล็กน้อยเพื่อให้แกงมีรสกลมกล่อม โดยการลงมือทำของผู้เรียน หลังจากการอธิบายแล้ว ผู้เรียนจะได้รับโอกาสในการลงมือทำจริง โดยผู้เรียนจะทำตามขั้นตอนดังกล่าว โดยมีคำแนะนำและช่วยเหลือระหว่างการทำ เช่น การปรับรสชาติ การผัดเครื่องแกง การเลือกเวลาในการต้ม
3. การเสริมทักษะ
ในระหว่างการทำ ผู้เรียนจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ เช่น:
• การเลือกเนื้อวัวที่เหมาะสมสำหรับทำแกงมัสมั่น
• วิธีการเลือกเครื่องเทศและการผัดเครื่องแกงให้หอม
• เทคนิคการปรับรสชาติให้มีความสมดุลระหว่างรสหวาน เปรี้ยว และเค็ม
ผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง (Ready-to-Cook) และ พร้อมบริโภค (Ready-to-Eat) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค โดยสามารถลดเวลาการเตรียมอาหารหรือการปรุง โดยทั้งสองประเภทมีความแตกต่างในแง่ของกระบวนการและวัตถุประสงค์ในการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ
1. ผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง (Ready-to-Cook)
ผลิตภัณฑ์ พร้อมปรุง คือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการแปรรูปและปรุงรสล่วงหน้าแล้ว แต่ยังคงต้องการการปรุงในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการรับประทาน เช่น การหมักเนื้อ, เนื้อที่เสียบไม้, หรือเนื้อที่ผสมเครื่องเทศแล้ว เป็นต้นซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการทำอาหารและเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน
ลักษณะของผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง
• วัตถุดิบที่เตรียมไว้ล่วงหน้า: เช่น เนื้อสัตว์หั่นเป็นชิ้น ขิงหั่นฝอย หรือผักล้างสะอาดพร้อมปรุง
• การปรุงรสที่พร้อม: ส่วนผสมต่างๆ เช่น เครื่องเทศ ซอส หรือหมักให้เข้าที่แล้ว
• ขั้นตอนการปรุงที่ง่าย: ผู้บริโภคเพียงแค่ทำการปรุงให้สุก เช่น การผัด ทอด หรือทำอาหารประเภทต่างๆ ที่ไม่ซับซ้อน
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง
1. เนื้อหรือไก่หมัก: เช่น เนื้อสะเต๊ะ ไก่หมักสำหรับทำปีกไก่ทอด
2. ชุดอาหารพร้อมทำ: เช่น ชุดทำสุกี้ ชุดทำข้าวผัด ที่มีทั้งเนื้อสัตว์และผักพร้อมให้ใช้
3. อาหารแช่แข็งพร้อมทำ: เช่น แฮมเบอร์เกอร์ ซีฟู้ดผัดผงกะหรี่
4. ผักและผลไม้พร้อมใช้: เช่น ผักสลัดที่ล้างและหั่นเสร็จเรียบร้อย
ข้อดีของผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง
• สะดวกสบายและรวดเร็ว: ลดเวลาการเตรียมวัตถุดิบ
• เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลา: สะดวกในการทำอาหารในชีวิตประจำวัน
• ควบคุมปริมาณ: ไม่ต้องห่วงเรื่องการเหลืออาหาร เพราะผลิตภัณฑ์มักจะมีขนาดพอเหมาะสำหรับการรับประทาน
• ช่วยให้การทำอาหารง่ายขึ้น: เหมาะกับคนที่ไม่เก่งในการทำอาหารหรือไม่ชำนาญในการปรุงรส
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อ
1. คุณภาพของวัตถุดิบ: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่
2. ความหลากหลายของเมนู: ควรมีหลากหลายเมนูให้เลือก เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซาก
3. การเก็บรักษา: ตรวจสอบการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ เช่น มีการแช่แข็งหรือบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษาความสดใหม่
4. ราคา: ควรพิจารณาราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพของอาหาร
2. ผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภค (Ready-to-Eat)
ผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภค คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปรุงจนสุกแล้วและพร้อมสำหรับการรับประทานทันทีโดยไม่ต้องทำการปรุงเพิ่มเติม เพียงแค่อุ่นหรือทานได้เลย เช่น อาหารพร้อมทานที่สามารถอุ่นในไมโครเวฟ หรือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร (เช่น การอบ, การต้ม, การนึ่ง)
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภค:
• สตูเนื้อ: เช่น สตูเนื้อมัสมั่นหรือสตูเนื้อซอส
• แฮมเบอร์เกอร์: แฮมเบอร์เกอร์สำเร็จรูปที่ปรุงสุกแล้ว
• เนื้ออบ: เนื้ออบในซอสหรือหมักเสร็จแล้ว
• เนื้อในน้ำซุป: เช่น เนื้อในซุปเนื้อหรือแกงที่ปรุงเสร็จแล้ว
• อาหารกระป๋อง: เช่น เนื้อในกระป๋องที่ปรุงพร้อมทาน
ขั้นตอนการผลิต:
1.การเลือกเนื้อ
คัดเลือกเนื้อที่สดใหม่และเหมาะสมกับการปรุงให้สุก เช่น สันใน, สันนอก, หรือเนื้อจากส่วนสะโพก
2.การปรุงอาหาร
ทำการปรุงสุกเนื้อให้รสชาติกลมกล่อม เช่น การต้ม, นึ่ง, หรืออบเนื้อในซอสหรือเครื่องเทศจนเนื้อมีรสชาติที่ต้องการ
3.การบรรจุภัณฑ์
บรรจุอาหารในภาชนะที่สามารถรักษาความสดใหม่และสะดวกต่อการทาน เช่น ถุงสูญญากาศ, กระป๋อง, หรือถุงพลาสติก
4.การเก็บรักษา
ผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภคควรเก็บในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง (ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์) และจะมีอายุการเก็บรักษาที่แตกต่างกันตามประเภทของอาหาร
ความแตกต่างระหว่าง Ready-to-Cook และ Ready-to-Eat:
Ready-to-Cook: ต้องการการปรุงในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการทาน เช่น หมักหรือปรุงรสล่วงหน้า แต่ยังคงต้องมีการปรุงรสหรือการทำให้สุกเพิ่มเติม
Ready-to-Eat: ได้รับการปรุงจนสุกและสามารถรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องการการปรุงเพิ่มเติม เพียงแค่การอุ่นหรือการทาน
กระบวนการผลิต Ready-to-Cook และ Ready-to-Eat:
การผลิตทั้งสองประเภทมีหลักการที่คล้ายกัน แต่จะมีความแตกต่างในขั้นตอนสุดท้ายที่ผลิตภัณฑ์ Ready-to-Cook ต้องการการปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้พร้อมรับประทาน ในขณะที่ Ready-to-Eat ได้รับการปรุงจนสุกและพร้อมบริโภคทันที
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัดการแปรรูปแกงมัสมั่นเนื้อ
1. ทักษะการทำอาหาร: ผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารไทยพื้นบ้านที่มีรสชาติอร่อย
2. การประยุกต์ใช้เทคนิค: การเรียนรู้การปรับรสชาติและการใช้เครื่องเทศอย่างถูกต้อง
3. การทำงานร่วมกัน: ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมนี้ร่วมกันในกลุ่ม ช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นทีม