นวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อโคและแพะคุณภาพสูงเพื่อการประกอบการ (หลักสูตร Non-Degree)
.
.

การปฏิบัติการตัดแยกซากโคออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ (Primal Cuts)
1. การตัดซากโคจะเริ่มต้นจากการแยกซากออกเป็นส่วนใหญ่ หรือที่เรียกว่า Primal Cuts ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างทางกายวิภาคของโค เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนเนื้อที่มีคุณภาพและเหมาะสมต่อการแปรรูปต่างๆ โดยส่วนหลักของซากโคมีดังนี้:
- Chuck (ไหล่) ส่วนไหล่ของโคมักใช้ทำเนื้อบด เนื่องจากเป็นเนื้อที่เหนียวสามารถทำเป็นสเต็กได้
- Rib (ซี่โครง) ส่วนซี่โครงจะประกอบด้วยกระดูกซี่โครงและเนื้อที่มีมาร์เบิลลิ่งดี ใช้ทำสเต็กซี่โครง และเนื้อย่าง
- Loin (เอว) ส่วนเอวเป็นส่วนที่มีคุณภาพสูงใช้ทำ สเต็ก และเนื้อฟิเลต์
- Round (สะโพก) ส่วนสะโพกมีเนื้อหนาและมักใช้ทำสเต็ก ชิ้นส่วนนี้สามารถทำเป็น เนื้อบด หรือ เนื้อย่าง ได้
- Brisket (อก) ส่วนอกของโคมักใช้ทำ เนื้อย่าง หรือ เนื้อหมักย่าง โดยมีลักษณะเหนียวและต้องการเวลาในการทำอาหารที่ยาวนาน
- Shank (ขา) ส่วนขาของโคใช้ทำ เนื้อสตูว์ หรือ เนื้อห่อหุ้ม ซึ่งต้องต้มเป็นเวลานานเพื่อให้เนื้ออ่อนนุ่ม
- Flank (ท้อง) ส่วนท้องใช้ทำ Flank steak ซึ่งมักใช้ในสเต็กหรือการย่าง
2. การตัดชิ้นส่วนย่อย (Retail Cuts)
หลังจากที่แยกซากโคออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่แล้ว จะมีการตัดชิ้นส่วนย่อย (Retail Cuts) เพื่อนำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อที่เหมาะสม โดยแต่ละชิ้นส่วนย่อยจะมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
โดยจะมีการตัดชิ้นส่วนย่อยเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานและการจำหน่าย โดยการตัดจะทำให้ได้ชิ้นเนื้อที่มีขนาดและลักษณะที่เหมาะสมสำหรับการปรุงอาหารที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของการตัดชิ้นส่วนย่อย ได้แก่:
Ribeye Steak (สเต็กจากซี่โครง)
T-bone Steak (สเต็กที่มีกระดูกรูปตัว T)
Sirloin Steak (สเต็กจากส่วนสะโพก)
Chuck Roast (เนื้อที่ตัดจากส่วนคอสำหรับการตุ๋นหรืออบ)
3. การแบ่งชิ้นส่วนของซากโคอย่างถูกต้อง
การตัดแต่งซากโคให้ได้ชิ้นส่วนที่เหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐานสากลจะช่วยให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพและสามารถนำไปแปรรูปได้อย่างหลากหลาย โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาคและการใช้งานของเนื้อในแต่ละส่วนที่ได้จากการตัดแต่ง ซากโคมีโครงสร้างที่เป็นระบบ โดยส่วนต่างๆ ถูกใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน เช่น: เนื้อแดดเดียว เนื้อสวรรค์ สเต็กเนื้อ และเนื้อแฮมเบอร์เกอร์
การแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อแดดเดียว
เนื้อแดดเดียวเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้จากการทำแห้งโดยการตากแดด เพื่อถนอมอาหารและยืดอายุการเก็บรักษา ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย การแปรรูปเนื้อแดดเดียวสามารถทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ เทคนิคการแปรรูป และวิธีการเก็บรักษา เพื่อให้อาหารมีรสชาติที่อร่อยและคงทนต่อการเก็บรักษา โดยส่วนผสมของเนื้อแดดเดียวจะประกอบไปด้วย เนื้อโค น้ำตาลทราย ลูกผักชี พริกไทยขาวป่น ผลชูรส น้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซอสฝาเขียว เกลือไนไตรท์ อิริทอร์เบต ฟอสเฟส และน้ำดื่มแช่เย็น
ขั้นตอนการทำ
1.หั่นเนื้อโคให้เป็นเส้นยาว มีความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร
2.คลุกเคล้าเนื้อที่หั่นแล้วกับส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นวด 15 นาที
3.พักในภาชนะปิดสนิท หมักแช่เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
4.ใสน้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง พอร้อนใส่สมุนไพรตามต้องการ ทอดจนหอม
นำเนื้อสัตว์ลงทอดต่อจนสุก ตักขึ้นสะเดดน้ำมัน จัดใส่จาน พร้อมรับประทาน
- การแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อสวรรค์
การแปรรูปเนื้อสวรรค์เป็นกระบวนการที่นิยมในการถนอมอาหารเพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้ยาวนาน และยังคงรสชาติที่อร่อย โดยเฉพาะเนื้อโคที่นำมาทำเป็นเนื้อสวรรค์เป็นอาหารได้ทั้งอาหารคาวและขนมขบเคี้ยวเนื้อแดดเดียว เป็นเนื้อที่ผ่านกระบวนการตากแดดเพื่อให้แห้งและสามารถเก็บรักษาได้ยาวนาน โดยส่วนผสมของเนื้อแดดเดียวจะประกอบไปด้วย เนื้อโค เกลือไนไตรท์ อิริทอร์เบต ลูกผักชีป่น พริกไทยขาวป่น น้ำตาลทราย ซอสหอยนางรม และผงชูรส อีกทั้งกระบวนการนี้ช่วยเพิ่มรสชาติของเนื้อให้เข้มข้นขึ้นจากการหมักก่อนการตากแดด โดยนิยมใชเนื้อโคหรือเนื้อแพะ
ขั้นตอนการทำ
1.แล่เนื้อโคให้เป็นแผ่น ความหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร
2.คลุกเนื้อโคกับเครื่องปรุงทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง หรือเก็บไว้ในตู้เย็น 1 คน
3.นำมาแผ่เป็นแผ่นบางๆบนตะแกรง ตากแดดจนแห้ง (ประมาณ 4 ชั่วโมง)
4.นำไปทอดใช้ไฟปานกลาง หรืออบที่ 180 องศาเซลเซียส จนสุกพร้อมรับประทาน
- การแปรรูปผลิตภัณฑ์สเต๊กเนื้อโค
การแปรรูปผลิตภัณฑ์สเต๊กเนื้อโค เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญทั้งในด้านการเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อโค และการเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร โดยการเลือกวิธีการแปรรูปที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับตลาดเป้าหมาย และสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น โดยส่วนผสมของเนื้อแดดเดียวจะประกอบไปด้วย เกลือป่น เนื้อโค พริกไทยดำ น้ำตาลทรายขาว โรสแมรี่ น้ำมันพืช กระเทียบกลีบใหญ่ เนยจืด บราวซอส ทั้งนี้สเต๊กเนื้อโคที่แปรรูปแล้วมีความนิยมในตลาดอาหารทั่วโลก เนื่องจากรสชาติที่อร่อยและการปรุงได้หลากหลาย การแปรรูปผลิตภัณฑ์สเต๊กเนื้อโคเป็นกระบวนการที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อโค แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยทำให้เนื้อมีรสชาติที่อร่อยและหลากหลายในการปรุงอาหาร การเลือกเนื้อที่ดี การหมักที่เหมาะสม และการปรุงสเต๊กด้วยวิธีที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์สเต๊กที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมจากตลาดอาหาร
ขั้นตอนการทำ
1.ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดให้เข้ากัน
2.นำเนื้อสัตว์คลุกกับเครื่องปรุงเตรียมไว้คลุกให้ทั่ว
3.หมักทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง
4.นำเนื้อสัตวไปทอดในกระทะจนสุกตามระดับที่ต้องการ
5.ทานคู่กับน้ำเกรวี่ สลัด ซอส และเครื่องเคียง
6.ตกแต่งจานด้วยผักต่างๆ
อุณหภูมิใจกลางต่อระดับความสุกของสเต๊ก
-Rare อุณหภูมิใจกลาง 50 - 52 องศาเซลเซียส
-Medium Rare อุณหภูมิใจกลาง 55 - 57 องศาเซลเซียส
-Medium อุณหภูมิใจกลาง 61 - 63 องศาเซลเซียส
-Medium Well อุณหภูมิใจกลาง 65 - 67 องศาเซลเซียส
-Well Done อุณหภูมิใจกลาง 72 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- การแปรรูปผลิตภัณฑ์โคแฮมเบอร์เกอร์เนื้อโค
การแปรรูปผลิตภัณฑ์ แฮมเบอร์เกอร์เนื้อโค เป็นการใช้เนื้อโคที่มีคุณภาพมาผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ กระบวนการแปรรูปแฮมเบอร์เกอร์จะต้องมีการเลือกเนื้อที่ดี การบดเนื้อให้ละเอียด การผสมเครื่องปรุงที่เหมาะสม โดยส่วนผสมของเนื้อแดดเดียวจะประกอบไปด้วย เนื้อโคบด ไขมันโคบด หอมหัวใหญ่ เกลือป่น น้ำตาลทราย พริกไทยป่น ผงชูรส แป้งข้าวโพด และเบคกิ้งโซดา โดยการปรุงในวิธีนี้ช่วยรักษาคุณภาพและรสชาติของผลิตภัณฑ์
ขั้นตอนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ แฮมเบอร์เกอร์เนื้อโค
1. การเลือกและเตรียมเนื้อโค
เลือกเนื้อที่มีคุณภาพ: เนื้อที่ใช้ในการทำแฮมเบอร์เกอร์ควรเลือกเนื้อที่มีความชุ่มชื้นและมีไขมันพอสมควร เช่น เนื้อส่วนสันนอก (Sirloin), เนื้อส่วนสันใน (Tenderloin), หรือส่วนที่มีความมันเล็กน้อย เช่น เนื้อส่วน Ribeye ซึ่งจะทำให้แฮมเบอร์เกอร์มีความนุ่มและมีรสชาติอร่อย
การเตรียมเนื้อ: หลังจากเลือกเนื้อที่เหมาะสมแล้ว ต้องทำการล้างและตัดส่วนที่ไม่ต้องการออก เช่น ไขมันส่วนเกินและเอ็น
2. การบดเนื้อ
การบดเนื้อ: เนื้อโคที่เลือกจะต้องนำมาบดให้ละเอียด โดยใช้เครื่องบดเนื้อ เนื้อที่บดจะต้องไม่บดละเอียดเกินไปหรือหยาบเกินไป การบดเนื้อในขั้นตอนนี้จะช่วยให้เนื้อมีความละเอียดพอเหมาะสำหรับการทำแฮมเบอร์เกอร์ที่มีเนื้อสัมผัสที่ดี
การบดหลายครั้ง: หากต้องการเนื้อที่ละเอียดมากขึ้น สามารถบดเนื้อซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เนื้อมีความละเอียดและสามารถผสมกับเครื่องปรุงได้ดี
3. ขั้นตอนการทำแฮมเบอร์เกอร์
1.แช่เนื้อโค และไขมันโคบด ที่ 0-2 องศาเซลเซียส
2.นวดเนื้อโคบด หนังไก่บด และเครื่องปรุงจนเหนียว
3.ใสหอมใหญ่สับละเอียด
4.ใส่แป้งข้าวโพด
5.นวดจนเหนียวเป็นเนื้อเดียวกัน
6.นำไปขึ้นรูปเป็นไส้แฮมเบอร์เกอร์ (แพตตี้)
7.นำไปทอดจนสุก
8.รับประทานคู่กับขนมปัง ผัก มะเขือเทศ และซอสชนิดต่างๆ
4. การเสิร์ฟแฮมเบอร์เกอร์
การเลือกขนมปังเบอร์เกอร์: ขนมปังที่ใช้เสิร์ฟกับแฮมเบอร์เกอร์ควรมีความนุ่มและสามารถรองรับเนื้อได้ดี ขนมปังเบอร์เกอร์ที่นิยมจะเป็นขนมปังทรงกลมที่นุ่ม
การจัดเสิร์ฟ: เมื่อแฮมเบอร์เกอร์สุกแล้ว ให้นำแฮมเบอร์เกอร์ไปวางบนขนมปังเบอร์เกอร์ พร้อมกับเครื่องเคียง เช่น ผักสด (ผักกาดหอม, มะเขือเทศ, หอมแดง), ชีส, มะกอก, หรือซอสต่าง ๆ เช่น มายองเนส, มัสตาร์ด, หรือซอสมะเขือเทศ
การบรรจุและการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์
การเก็บแฮมเบอร์เกอร์สด: หากไม่ได้นำไปขายทันที ควรเก็บแฮมเบอร์เกอร์ที่ทำเสร็จแล้วในตู้เย็นหรือแช่แข็งเพื่อรักษาความสดใหม่
การเก็บแฮมเบอร์เกอร์แช่แข็ง: แฮมเบอร์เกอร์ที่ไม่ได้ใช้สามารถแช่แข็งเก็บไว้ได้หลายสัปดาห์ โดยการห่อด้วยพลาสติกห่อหรือบรรจุภัณฑ์ที่มีความสามารถในการป้องกันการแช่แข็ง
ประโยชน์ของการแปรรูปแฮมเบอร์เกอร์เนื้อโค
1.เพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อโค: การแปรรูปแฮมเบอร์เกอร์เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อโค เนื่องจากแฮมเบอร์เกอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความนิยมสูงในตลาด
2.ความสะดวกในการบริโภค: แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถรับประทานได้ทุกที่
3.ปรับปรุงรสชาติ: การใช้เครื่องปรุงและการปรุงรสสามารถปรับรสชาติของเนื้อโคให้มีความหลากหลายมากขึ้น
การตัดแต่งซากโคเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการแยกเนื้อสัตว์ออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้สะดวกต่อการบริโภคและการแปรรูป โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโค การตัดแยกซากออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ (Primal Cuts) และการตัดชิ้นส่วนย่อย (Sub-primal Cuts) อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การตัดแต่งซากโคให้ได้ชิ้นส่วนที่เหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐานสากลจะช่วยให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพและสามารถนำไปแปรรูปได้อย่างหลากหลาย โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาคและการใช้งานของเนื้อในแต่ละส่วนที่ได้จากการตัดแต่ง ซากโคมีโครงสร้างที่เป็นระบบ โดยส่วนต่างๆ ถูกใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน
1.ลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโค
ลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโคจะแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ตามโครงสร้างของร่างกายที่สามารถนำมาปรับใช้ในการตัดแต่งซากได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแบ่งซากโคให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการผลิตเนื้อที่มีคุณภาพสูง โดยลักษณะทางกายวิภาคของโคที่สำคัญ:
โครงกระดูก:
- โครงกระดูกของโคมีความแข็งแรง เพื่อรองรับน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก โดยมีกระดูกที่แข็งแรงและใหญ่ เช่น กระดูกสันหลังที่ยาวและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับร่างกาย
- โคมีขาทั้งสี่ขา ซึ่งแต่ละขามีโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักตัวและช่วยในการเคลื่อนไหว
กล้ามเนื้อ:
- โคมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเดินและการยืน เนื่องจากโคเป็นสัตว์ที่ใช้เวลาในการเดินหรือยืนเป็นระยะเวลานาน
- กล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยให้โคสามารถเดินในพื้นที่หญ้าหรือทุ่งหญ้าได้อย่างต่อเนื่อง
หัว:
- หัวของโคมีขนาดใหญ่และมีอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ตา หู จมูก และปาก
- โคมีปากที่มีฟันกรามและฟันกรามที่แข็งแรง เพื่อใช้ในการเคี้ยวหญ้าและวัสดุอาหารที่มีลักษณะหยาบ
- โคมีตาที่มีลักษณะเหมาะสมในการมองเห็นในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะในที่ที่แสงน้อย
ระบบทางเดินอาหาร:
- โคเป็นสัตว์ที่มีระบบทางเดินอาหารแบบ กระเพาะหลายช่อง ซึ่งประกอบด้วยกระเพาะ 4 ช่อง คือ กระเพาะรูเมน (rumen), กระเพาะรังผึ้ง (reticulum), กระเพาะสามสิบกลีบ (omasum) และ กระเพาะแท้ (abomasum)
- ระบบทางเดินอาหารนี้ช่วยให้โคสามารถย่อยอาหารประเภทหญ้าและวัสดุที่ย่อยยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบทางเดินหายใจ:
- โคมีจมูกที่พัฒนาเพื่อช่วยในการหายใจและกรองอากาศ โดยมีช่องทางเดินหายใจที่ยาวและมีลักษณะโค้ง เพื่อกรองอากาศให้สะอาด
- ปอดของโคมีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
ระบบหมุนเวียนโลหิต:
- โคมีหัวใจที่ขนาดใหญ่ และมีการไหลเวียนของเลือดที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการใช้พลังงานจากการเคลื่อนไหวหรือการทำงานหนัก
- ระบบเลือดของโคช่วยในการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ผิวหนัง:
- โคมีผิวหนังที่ค่อนข้างหนา ซึ่งมีขนปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันสภาพอากาศที่รุนแรงและการบาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อม
- บางสายพันธุ์ของโคอาจมีขนยาวหรือหนามากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศที่พวกมันอาศัยอยู่
ระบบสืบพันธุ์:
- โคมีระบบสืบพันธุ์ที่มีลักษณะพิเศษ โดยเพศเมียจะมีประจำเดือนหรือรอบการเจริญพันธุ์ที่ชัดเจน
- การสืบพันธุ์ของโคสามารถทำได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีช่วงเวลาที่มีความถี่ในการผสมพันธุ์สูงในบางฤดูกาล
ผลลัพธ์ที่คาดจากการตัดแต่งซากโคและแปรรูปผลิตภัณฑ์
1.การใช้เครื่องมือในการตัดแต่งซากโคอย่างถูกต้องและปลอดภัยจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถตัดแต่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เนื้อเกิดความเสียหาย
2.ผู้เรียนจะเข้าใจถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อสัตว์ เช่น การเลือกส่วนที่มีมูลค่าสูงสำหรับการจำหน่าย และการประเมินราคาเนื้อแต่ละส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ
3.ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะการตัดแต่งซากโคให้มีประสิทธิภาพ โดยสามารถตัดแต่งเนื้อออกมาในลักษณะที่เหมาะสม ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ เช่น การแยกส่วนเนื้อที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสันนอก หรือเนื้อส่วนที่ต้องการความละเอียดในการตัดออกมา
4.ผู้เรียนจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ได้ และสามารถเลือกวิธีการแปรรูปที่เหมาะสมกับชนิดของเนื้อสัตว์ได้
5.ผู้เรียนสามารถนำทักษะที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปเนื้อสัตว์ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายในการตลาด
6.ผู้เรียนสามารถประเมินและวางแผนการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ให้มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ เช่น การวางแผนการผลิต, การตั้งราคาขาย, และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ดูน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า แต่ยังเป็นการสื่อสารถึงคุณภาพและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในตลาด การเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติเกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ตลาด และสามารถใช้ได้จริงในการทำธุรกิจ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ กิจกรรม: ผู้เรียนจะได้ฝึกออกแบบบรรจุภัณฑ์จริง โดยใช้กระบวนการออกแบบที่เริ่มตั้งแต่การคิดคอนเซปต์จนถึงการนำเสนอ การใช้เครื่องมือการออกแบบ: ใช้เครื่องมือและซอฟต์แวร์ในการออกแบบ เช่น Adobe Illustrator, Photoshop หรือเครื่องมือออกแบบอื่นๆ การออกแบบกราฟิก: ผู้เรียนจะฝึกการออกแบบกราฟิก เช่น การเลือกสี, ฟอนต์, โลโก้, และภาพที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ การเลือกวัสดุ: ฝึกการเลือกวัสดุที่เหมาะสมสำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทั้งแข็งแรงและสวยงาม เช่น กระดาษ, พลาสติก หรือวัสดุรีไซเคิล การพิจารณาทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กิจกรรม: พิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจในการเลือกวัสดุ เช่น ราคาของวัสดุ, ความคุ้มค่าในการผลิต, และการขนส่ง การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: อธิบายถึงการใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ หรือวัสดุที่มีผลกระทบต่ำต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ตอบโจทย์ทั้งทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การทดสอบและปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ กิจกรรม: ผู้เรียนจะได้ทดลองสร้างต้นแบบบรรจุภัณฑ์ (prototype) และทดสอบการใช้งาน การรับข้อเสนอแนะ: รับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมกิจกรรมหรือจากกลุ่มเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: การทำการปรับปรุงตามผลการทดสอบและข้อเสนอแนะจากลูกค้าหรือผู้ใช้งาน การนำเสนอผลงาน กิจกรรม: ผู้เรียนจะนำเสนอการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นต่อเพื่อนร่วมกลุ่มหรือคณะกรรมการ โดยเน้นที่การอธิบายกระบวนการออกแบบและเหตุผลที่เลือกวัสดุและสไตล์การออกแบบ การวิจารณ์และการปรับปรุง: การให้ความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมในการนำเสนอเพื่อปรับปรุงการออกแบบในครั้งถัดไป การฝึกปฏิบัติการบรรจุภัณฑ์มักจะเน้นไปที่การทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์: เพื่อเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม การฝึกใช้เครื่องมือ: การใช้อุปกรณ์ในการบรรจุภัณฑ์อย่างถูกวิธี เช่น การใช้เครื่องบรรจุสูญญากาศ, เครื่องบรรจุขวด, หรือการพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์ การควบคุมคุณภาพ: ให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีการบรรจุที่ปลอดภัยและไม่มีการปนเปื้อน
การเลือกใช้ บรรจุภัณฑ์ และ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาคุณภาพของสินค้า เพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บและขนส่ง รวมถึงสามารถยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี ต่อไปนี้คือแนวทางในการเลือกใช้และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท: - การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น: ผลิตภัณฑ์สดหรือเนื้อสัตว์: ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สามารถปกป้องผลิตภัณฑ์จากเชื้อโรคและคงความสดได้ เช่น การใช้ ฟิล์มห่อสูญญากาศ หรือ พลาสติกที่มีความหนาแน่น สำหรับป้องกันการซึมของอากาศและการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ผลิตภัณฑ์แห้ง (เช่น ขนมขบเคี้ยว): สามารถใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจาก พลาสติกหรือฟอยล์ ที่มีความสามารถในการป้องกันความชื้นและแสง เครื่องดื่ม: ใช้ ขวดแก้ว หรือ ขวดพลาสติก ที่มีระบบปิดผนึกอย่างดี เช่น การใช้ฝาผนึกหรือฝาหมุนเพื่อป้องกันการรั่วไหล ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร (ผลไม้สด, ผัก): มักเลือกใช้ กล่องกระดาษหรือพลาสติกที่มีช่องระบายอากาศ เพื่อให้สามารถระบายความชื้นได้ - การออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับผลผลิต การออกแบบบรรจุภัณฑ์ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การเลือกวัสดุเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงการใช้งานจริงด้วย การป้องกันผลิตภัณฑ์จากการกระแทกและความเสียหาย: เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เปราะบาง เช่น ขวดหรือภาชนะที่บอบบาง ควรเลือกวัสดุที่สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดี การป้องกันการสัมผัสกับอากาศหรือความชื้น: เช่น การใช้ บรรจุภัณฑ์สูญญากาศ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเก็บในสภาพแห้ง ความสะดวกในการใช้งาน: การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวก เช่น การใช้ ฝาปิดที่สามารถเปิดปิดได้ง่าย, การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดเหมาะสมกับการจัดเก็บ - การสร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้บริโภค: เช่น การใช้ กราฟิก และ การพิมพ์ ที่ดึงดูดลูกค้า ผลลัพธ์และความคาดหวังจากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 1. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้กระบวนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการสร้างต้นแบบ 2. ผู้เรียนจะเข้าใจถึงบทบาทของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ในการสร้างความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ 3. ผู้เรียนจะได้ฝึกการใช้เครื่องมือการออกแบบต่างๆ เพื่อสร้างบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ 4. ผู้เรียนจะมีความสามารถในการพิจารณาความเหมาะสมของวัสดุในการผลิตบรรจุภัณฑ์ และการเลือกวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมการเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติที่ผู้เรียนลงมือทำการตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนซากแพะ เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการทำความเข้าใจวิธีการจัดการและแปรรูปแพะเพื่อใช้ประโยชน์จากเนื้อและส่วนอื่นๆ ให้เกิดความคุ้มค่า ในกิจกรรมนี้ ผู้เรียนจะได้รับทักษะในการใช้เครื่องมือที่ถูกต้องและปลอดภัย รวมถึงการแบ่งชิ้นส่วนซากแพะให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ในอาหารหรือการแปรรูปอื่นๆ เช่น การทำเนื้อแห้ง การผลิตเนื้อสด หรือการผลิตผลิตภัณฑ์จากหนังและขน โดยปฏิบัติการแปรสภาพแพะตามหลักการฮาลาล ในการแปรสภาพแพะเพื่อบริโภคตามข้อบัญญัติของศาสนาอิสลาม ต้องเป็นการฆ่าสัตว์เพื่อบริโภค และเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และการคำนวณองค์ประกอบของซากสัตว์ หรือ การคำนวณองค์ประกอบของซากเนื้อสัตว์ การประเมินส่วนประกอบต่างๆ ของซากสัตว์หลังการฆ่า ซึ่งประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญ เช่น เนื้อ, กระดูก, ไขมัน, เครื่องใน และส่วนอื่นๆ โดยการคำนวณนี้มักใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเนื้อสัตว์และเพื่อคำนวณปริมาณหรือการจัดสรรส่วนต่างๆ ของสัตว์ในเชิงเศรษฐกิจ
• การแปรสภาพแพะตามหลักการฮาลาล
- การฆ่าแพะที่ถูกต้องตามหลักการฮาลาลเรียกว่า ซิบะฮะ (Zibah) ซึ่งเป็นกระบวนการฆ่าสัตว์โดยใช้ การกล่าวคำบิสมิลลาห์ (Bismillah) และการกล่าวคำของอัลลอฮ์ เมื่อฆ่าแพะจะต้องกล่าวคำ "บิสมิลลาห์ อัลลอฮุอักบาร์" (Bismillah Allahu Akbar) ซึ่งหมายถึง "ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่" ก่อนทำการฆ่า เพื่อให้กระบวนการฆ่าเป็นไปตามหลักศาสนา
วิธีการฆ่า: การฆ่าจะต้องใช้ มีดที่คม และต้องทำการตัดที่ หลอดลม และหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งจะช่วยให้เลือดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แพะตายอย่างมนุษยธรรมและไม่ตกอยู่ในสภาพที่ทนทุกข์ ห้ามฆ่าสัตว์ที่มีอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บหรือมีสภาพไม่เหมาะสม เช่น แพะที่ตายเองหรือถูกฆ่าด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามหลักฮาลาล
• การตัดแต่งซากแพะ
1. ตัดหัวออก โดยใช้มีดตัดแยกหัวออกจากลำตัว โดยตัดจากรอยเชือดคอเดิมซึ่งอยู่บริเวณคอหอยไปยังข้อต่อระหว่างกระดูกคอกับกระดูกกะโหลก
2. ตัดแข้งหน้าและแข้งหลัง โดยตำแหน่งของการตัดแข้งหน้าตรงข้อต่อของกระดูกแข้งออกจากกระดูกขาส่วนล่าง มีลักษณะรอยที่หัวกระดูกแข้งหน้า และตำแหน่งของการตัดแข้งหลังออกจากกระดูกขาหลังส่วนล่าง
3.ใช้มีดคว้านรอบทวารหนักจากนั้นใช้ยาง หรือเชือดรัดปิดรูทวารไม่มีมูลทะลักออกมาเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของมูลไปยังซากและส่วนต่างๆของซาก
4. เลาะหนัง (ถลกหนัง) ออกจากซากเป็นขั้นตอนตามมาตรฐานสากล เริ่มจากการผ่าเปิดหนังด้านในของขาหลัง แล้วใช้มีดกรีดมาบรรจบที่จุดกึ่งกลางระหว่างขา เลาะหนังรอบๆ ขาออก จากนั้นกรีดหนังบริเวณท้องลงมาไปจนถึงยอดอก เลาะหนังจากขาหลัง สะโพก ลำตัว ไหล่ลงมาจนหนังหลุดออก
5. เปิดซากเพื่อเอาอวัยวะภายในออก เริ่มจาการใช้มีดผ่าเปิดหน้าท้องตรงตำแหน่งใต้กระดูกเชิงกรานไล่ลงไปจนถึงบริเวณกระดูกหน้าอกเพื่อเอาระบบทางเดินอาหาร ตับ ปอด ขั้วปอด และหัวใจออกก่อนที่จะนำซากไปล้างและแช่เย็น
6. ล้างทำความสะอาดซาก โดยจะทำความสะอาดหลังจากตกแต่งซากก่อนที่จะนำซากเข้าไปในห้องเย็น หรือส่งขายในซากอุ่น โดยการล้างทำความสะอาดซากจะทำโดยการฉีดน้ำแบบพ่นฝอยเพื่อล้างคราบเลือด เศษกระดูก มูล และสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ที่อยู่ส่วนนอกจากซาก ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นจึงนำไปชั่งน้ำหนักซากอุ่น แล้วนำไปแช่เย็นที่อุณหภูมิ 3-5 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังจากแพะตาย
• การตัดแต่งซากเป็นส่วนใหญ่
การตัดแต่งซากแพะที่เน้นโดยแบ่งออกเป็นการตัดแต่งซกออกเป็นส่วนใหญ่ และการตัดแต่งซากเป็นชิ้นส่วนย่อย ซึงการตัดแต่งซากมีความแต่งต่างจากรูปแบบการตัดแต่งแบบพื้นบ้านที่มุ่งเน้นเพียงการตัดแยกชิ้นส่วนของเนื้อแดงออกจากซากเพื่อนำไปทำเมนูทั่วไป เช่น คั่วกลิ้ง มัสมั่น และซุป เป็นต้น
1. คอ
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่ตัดแยกผ่านกระดูกคอที่ต่อกับกระดูกสันหลังช่วงอก
2. ไหล่
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนไหล่ทั้งหมด โดยนำซากที่ตัดแยกส่วนคอ อกและพื้นท้อง และขาหน้าออก แล้วตัดแยกส่วนไหล่ออกจากซากส่วนที่เหลือตรงตำแหน่งระหว่างซี่โครงซี่ที่4 และ 5
3. อกและพื้นท้อง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : การตัดส่วนอกแบบที่ 1 จะตัดตามขวางกระดูกซี่โครงให้ขนานกับกระดูกสันหลัง กว้างประมาณ 1 ใน 3 ของความกว้างของกระดูกอกถึงกระดูกสันหลัง ให้ติดเนื้อส่วนพื้นท้อง
4. ไหล่และอก
ตำแหน่งที่ตัดแยก : การตัดส่วนอกแบบที่ 2 จะแบ่งส่วนไหล่และอกออกจากวาก โดยตั้งฉากกับกระดูกสันหลังตรวตำแหน่งระหว่าซี่โครงซี่ที่ 3 กับ 4 แล้วแยกส่วนอกออกจากส่วนไหล่อีกครั้ง โดยแบ่งครึ่งตัด ได้ส่วนไหล่ การตัดแบบนี้จะได้เนื้อส่วนอกและไหล่ที่มีกระดูกใบพายติดมาด้วยกัน
5. ขาหน้า
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนที่ตัดแยกออกจากซาก โดยเลาะตรงซอกขาหน้าชิดกับลำตัว
6. ซี่โครง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่ตัดผ่านกระดูกสันหลังตรงซี่โครงซี่ 6 ถึงซี่โครงที่ 12
7. สะเอว
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่ตัดผ่านกระดูกสันหลังตรงกระดูกซี่โครงที่ 13 จนถึงกระดูกสันหลังข้อสุดท้าย
8. สะโพกและขาหลัง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนตัดส่วนสะโพกและขาหลังโดยตัดตั้งฉากกับลำตัวผ่านกระดูกสันหลัง
• การตัดแยกซากออกเป็นชิ้นส่วนย่อย
1. ส่วนคอและไหล
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนสำคัญ ก่อนที่จะตัดแยกส่วนนี้จะทำการเลาะแยกชิ้นส่วนขาหน้าออกไปก่อน จากนั้นจึงใช้เลื่อยตัดแยกส่วนอกออก แล้วจึงตัดแยกส่วนคอและไหล่ออกจากส่วนซี่โครงจะตัดตรงกระดูกซี่โครงซี่ที่ 5 กับ 6
การนำไปประกอบอาหาร : แกง ผัด แพะตุ๋น
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก และเจอร์กี้
2. หน้าอก พื้นท้อง และแข้งหน้า
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ในการตัดแยกชิ้นส่วนหน้าอกและพื้นท้อง จะตัดแยกชิ้นไหล่ส่วนอกที่รวมทั้งขาหน้าออกมาด้วย ซึ่งจะทำโดยการใช้เลื่อยตัดแบ่งส่วนไหล่ซึ่งมีกระดูกใบพายและกระดูกขาหน้าส่วนบนออกไป ส่วนที่เหลือคือส่วนหน้าอก แข้งหน้า และพื้นท้อง
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ ชาบู บาบีคิว ย่าง ผัด
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก เบคอน
3. ขาหน้า
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ขาหน้าประกอบด้วยส่วนที่เป็นกระดูกใบพาย กระดูกฮิวเมอรัส กระดูกดียส-อูลน่า คาร์ปอล และกระดูกเมทต้า คาร์ปอล จากนั้นเลาะแยกออกจากส่วนลำตัว แล้วนำไปตัดแยกเอากระดูกใบพายออก ส่วนที่เหลือก็จะตัดเป็นชิ้นๆ หนาประมาณ 3 ใน 4 ส่วนตรงกระดูกใบพายก็จะเลาะแยกออกมาใช้ประโยชน์
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ แจ่วฮ้อน ชาบู แกง
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก
4. ซี่โครง หรือสันซี่โครง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ซี่โครงเป็นชิ้นส่วนที่ตัดแยกออกจากส่วนไหลตั่งแต่กระดูกซี่โครงซี่ที่ 5 และตัดแยกออกจากส่วนสะเอวออกตรงซี่โครงซี่ที่ 12
การนำไปประกอบอาหาร : ย่าง อบ
5. สะเอว
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่มีกล้ามเนื้อสันในติดมาด้วย นิยมตัดให้เป็นชิ้นๆ หรืออาจจะตัดเลาะเอากระดูกซี่โครงที่ติดมาออกก็จะได้เนื้อชิ้นใหญ่ที่มีลักษณะเป็นแผ่นออกมา
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ แจ่วฮ้อน ชาบู ผัด อบ
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก
6. ขาหลังและสะโพก
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ชิ้นส่วนขาและสะโพกสามารถตัดแยกออกได้เป็นชิ้นที่แยกเอากระดูก หรืออาจจะตัดแยกเอาส่วนแข้งออก หรืออาจจะแยกส่วนสะโพกออกไปด้วย
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ แจ่วฮ้อน ชาบู ผัด แกง แพะตุ๋น
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก
การตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนซากแพะแบบสากลและตามหลักการฮาลาและการแปรสภาพแพะเพื่อการใช้ประโยชน์โดยการแปรสภาพแพะเป็นกระบวนการสำคัญอย่างหนึ่งของการผลิตเนื้อแพะที่มีคุณภาพดีโดยทางสากลการแปรสภาพแพะจากมีชีวิตเป็นซากแบ่งออกได้เป็นสองช่วงเวลา ช่วงแรก เป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวแพะมีชีวิตให้อยู่ในสภาพพร้อมต่อเนื่องไปจนถึงสลบ หรือหมดความรู้สึก ด้วยเครื่องมือกล เช่นการใช้ปืนทำให้สลบ หรือใช้ไฟฟ้าช็อค จากนั้นเข้าสู่ช่วงที่สอง คือ การเชือดคอ หรือแทงคอเอาเลือดออก ซึ่งต้องทำอย่างมีมนุษยธรรมและถูกต้องตามหลักสากล ทั้งนี้เพื่อให้แพะตายอย่างรวดเร็ว ไม่ทรมาน เลือดจากซากมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซากได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด และทุกขั้นตอนต้องเน้นความสะอาด
การจัดการตัวแพะก่อนแปรสภาพ
ตามมาตรฐานสากลการจัดการตัวแพะก่อนแปรสภาพเพื่อให้ได้แพะที่มีความสมบูรณื มีสุขภาพดี ไม่อ่อนแอ ไม่อมโรค ไม่เจ็บป่วย ไม่อยู่ในระยะรักษาหรือพักฟื้น ต้อวกระทำอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ทั้งนั้นให้ได้แพะที่มีความสมบูรณ์ก่อนที่จะส่งไปแปรสภาพ
การตรวจร่างกายก่อนแปรสภาพ
การตรวจสุขภาพร่างกายก่อนนำไปแปรสภาพเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ต้องดำเนินการ เพื่อรับประกันว่าสัตว์ที่จะนำมาฆ่าเพื่อบริโภคมีสุขภาพดี ไม่อมโรค ไม่เป็นโรคติดต่อ ไม่เป็นพาหะนำโรค หรือไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นสร้างความมั่นใจว่าแพะที่นำมาแปรสภาพมีความสมบูรณืเหมาะสม จึงเป็นการตรวจสอบขั้นต้น โดยวิธีการสังเกตดูรูปร่างและลักษณะอาการทั่วไปของสัตว์ เช่น พฤติกรรม เดิน ยืน นอน พฤติกรรมการขับถ่ายปัสสาวะและมูล สีของปัสสาวะ ลักษณะของมูล ลักษณะการบวมตามจุดต่างๆของร่างกาย
การประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายแพะ
การประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายแพะ เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสภาพร่างกายของแพะ เช่น ผอมมาก ผอม อ้วน หรืออ้วนมาก ใช้เพื่อตัวบ่งบอกถึงการเลี้ยงดู การจัดการด้านอาหาร และสุขภาพ ทั้งนี้การประเมินความสมบูรณืของร่างกายแพะมีความสัมพันธ์กับข้อมูลการพัฒนาและปรับปรุงพันธ์ การจัดการด้านอาหาร การดูแลสุขภาพสัตว์ การจัดการฆ่าและซาก โดยแบ่งค่าคะแนนออกเป็น 5 ระดับ
• ผอมมากที่สุด
สภาพร่างกายของแพะ : สวาบบุ๋มลึก สังเกตเห็นปุ่มของกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกโคนหางอย่างชัดเจน ส่วนเอวมองเห็นของกระดูกสันหลังชัดเจน ช่วงอกเล็ก และมองเห็นกระดูกซี่โครงชัดเจน กล้ามเนื้อทุกส่วนลีบเล็ก ไม่ปรากฏว่ามีไขมันปกคลุมอยู่บริเวรส่วนหลังและส่วนสะโพก รวมทั้งไม่มีไขมันสะสมอยู่รอบๆจุดต่อตรงส่วนยอดกระดูกสันหลัง โดยปกติแพะที่อยู่ในสภาพนี้จะไม่นำมาฆ่าเพื่อบริโภค
• ผอม
สภาพรางกายของแพะ : ร่างกายแพะมีสภาพผอม แต่ไม่โทรมมากแต่ยังมองเห็นกระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกโคนหางที่ชัดเจน สภาพนี้ยังไม่ควรนำไปแปรสภาพเพื่อบริโภค
• ปานกลาง
สภาพร่างกายแพะ : ร่างกายของแพะมีกล้ามเนื้อมากกว่าระดับผอม แต่แพะไม่ได้อ้วนยังสามารถสัมผัสโดนบ้างส่วนของกระดูกซี่โครง ส่วนหัวและส่วนปลายของกระดูกสันหลังในการเตรียมแพะ เพื่อนำไปแปรสภาพเป็นเนื้อ
• อ้วน
สภาพร่างกายแพะ : สัมผัสเจอเนื้อในปริมาณมากกว่าระดับปานกลาง โดยสัมผัสไม่เจอกระดูก ไม่สัมผัสส่วนปลายของกระดูกสันหลัง สะโพกและก้นกล้ามเนื้อเต็ม แลหน้าอกแน่นเต็ม
• อ้วนมากเกินไป
สภาพร่างกายแพะ : ร่างกายแพะสภาพอ้วนมาก เมื่อใช้มือคลำพบว่าร่างกายมีไขมันใต้ผิวหนังมาก รวมทั้งในส่วนยอดอกไหล่และสีข้าง ช่องท้อง ระหว่าซี่โครง สะโพก โคนหาง และหางมีไขมันสะสมอยู่มากจนสัมผัสไม่พบส่วนกระดูก
ลักษณะทางกายวิภาคของแพะ
แพะเป็นสัตว์ที่มีโครงสร้างทางกายวิภาคที่คล้ายคลึงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป มีอวัยวะภายในที่สำคัญเช่น หัวใจ ปอด ตับ และไต กระดูกของแพะมีลักษณะเบาและแข็งแรง ทำให้เหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นเนื้อ
• การตัดแยกซากออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่
การตัดแต่งซากแพะเริ่มต้นจากการแบ่งซากออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ ซึ่งมักแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ
ซีกหน้าหรือส่วนหน้า (Forequarters): ประกอบด้วยส่วนของไหล่ ขาหน้า และส่วนที่ติดกับกระดูกอก
ซีกหลังหรือส่วนหลัง (Hindquarters): ประกอบด้วยส่วนสะโพก ขาหลัง และกระดูกสันหลังส่วนท้ายในการแบ่งชิ้นส่วนใหญ่ ควรใช้มีดที่คมและแข็งแรง เพื่อให้การตัดมีความแม่นยำและไม่ทำให้เนื้อเสียหาย
• การแบ่งชิ้นส่วนแพะได้อย่างถูกต้อง
การแบ่งชิ้นส่วนแพะอย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถนำไปทำอาหารได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปแล้วการแบ่งชิ้นส่วนของแพะจะแบ่งตามการใช้ประโยชน์ เช่น
ส่วนที่ใช้ทำสเต๊ก: จะใช้เนื้อจากบริเวณหลัง เช่น สันในและสันนอก
ส่วนที่ใช้ทำแกงหรือต้ม: เช่น ขาหรือเนื้อจากส่วนหน้า
ส่วนที่ใช้ทำลาบหรือลูกชิ้น: เช่น เนื้อจากสะโพกหรือขาหน้า
• การตัดชิ้นส่วนย่อย
การตัดชิ้นส่วนย่อยจะทำได้ดีเมื่อแบ่งชิ้นส่วนใหญ่แล้ว ตัดเนื้อจากส่วนที่เป็นสะโพกหรือขาหลังออกเป็นชิ้นเล็กๆ สำหรับนำไปปรุงในแบบต่างๆ การตัดแต่งให้ชิ้นเนื้อมีขนาดพอดีและเหมาะสมกับประเภทการปรุง เช่น การต้ม การย่าง หรือการทอด
• การตัดแต่งแบบไทย
ในการตัดแต่งแบบไทยนั้นมักจะมีการแยกชิ้นส่วนเนื้อเพื่อให้เหมาะสมกับการทำอาหารไทย เช่น การทำแกงเผ็ด เนื้อแพะจะถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ที่สะดวกในการเคี่ยวและดูดซึมรสชาติของเครื่องเทศ นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรและเครื่องปรุงอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้เนื้อแพะ
• วิธีการทำเนื้อแพะสไลด์ขึ้นรูป
การทำเนื้อแพะสไลด์ขึ้นรูปนั้นมีวิธีที่สามารถทำได้หลายแบบ โดยทั่วไปแล้วจะต้องใช้มีดที่คมและบางเพื่อให้สามารถสไลด์เนื้อแพะได้บางและสม่ำเสมอ เทคนิคที่นิยมใช้ได้แก่:
การแช่แข็งเนื้อแพะ: เพื่อให้เนื้อแข็งและสามารถตัดได้บางยิ่งขึ้น
การใช้เครื่องสไลด์เนื้อ: เครื่องสไลด์ที่มีใบมีดคมสามารถช่วยให้การตัดเนื้อแพะเป็นชิ้นบางๆ มีขนาดเท่ากันและดูสวยงาม การตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนแพะที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพดีในการนำไปใช้ทำอาหารต่างๆ ตามความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการอาหาร
ผลลัพธ์และความคาดหวังจากการตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนซากแพะ
1. ผู้เรียนจะสามารถใช้มีดและเครื่องมืออื่นๆ ในการตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนของซากแพะได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งการแยกส่วนต่างๆ เช่น เนื้อ, กระดูก, ไขมัน, เครื่องใน โดยให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยขณะทำงาน
2. ผู้เรียนจะสามารถเข้าใจในโครงสร้างซากแพะ ระบุและเข้าใจโครงสร้างของซากแพะและส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตอาหารหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น การแยกเนื้อส่วนที่มีคุณภาพสูงจากส่วนที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป
3. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิธีการใช้และดูแลรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตัดแต่งซากสัตว์ เช่น มีด, เครื่องมือสำหรับแยกกระดูก, และเครื่องมือสำหรับการทำความสะอาด
4. ผู้เรียนจะเข้าใจความสำคัญของการทำงานอย่างปลอดภัย เช่น การป้องกันการบาดเจ็บจากมีด, การใช้ถุงมือ, การดูแลสุขอนามัยและการจัดการกับซากสัตว์อย่างเหมาะสม
5. ผู้เรียนจะสามารถวิเคราะห์วิธีการตัดแต่งที่มีประสิทธิภาพและสามารถเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ เช่น การแปรรูปเนื้อหรือกระดูกให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจชุมชน ใน ตลาดโมเดล จะมุ่งเน้นการพัฒนาและสร้างทักษะที่จำเป็นในการสร้างธุรกิจที่มีความยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการการทำธุรกิจในระดับท้องถิ่น โดยใช้แนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในชุมชน ทั้งในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์, การตลาด, และการสร้างเครือข่ายการทำธุรกิจที่เข้มแข็ง การศึกษาเคสธุรกิจชุมชน: ผู้เข้าร่วมจะได้ศึกษาและวิเคราะห์กรณีศึกษาของธุรกิจชุมชนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การสร้างกลยุทธ์การตลาด: การจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ร่วมคิดและพัฒนากลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจชุมชน การออกแบบผลิตภัณฑ์: การฝึกปฏิบัติการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรท้องถิ่น การประชุมกลุ่มและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น: การทำงานเป็นกลุ่มเพื่อแชร์แนวคิดและประสบการณ์ในการพัฒนาธุรกิจชุมชน
ธุรกิจชุมชน หรือ Community-based Business และ ตลาดโมเดล (Market Model) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชนผ่านการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน โดยการเชื่อมโยงคนในชุมชนและตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การทำธุรกิจในรูปแบบนี้มักจะนำไปสู่การสร้างงาน, การพัฒนาทักษะ, การสร้างรายได้ที่มีความยั่งยืนในท้องถิ่น และสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
1. ธุรกิจชุมชน (Community-based Business)
ธุรกิจชุมชนคือธุรกิจที่เน้นการมีส่วนร่วมจากสมาชิกในชุมชนในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ผ่านการสร้างงาน, การพัฒนาอาชีพ, การสร้างเครือข่ายทางสังคม และการเสริมสร้างความเข้มแข็งในชุมชน โดยธุรกิจประเภทนี้มักมีลักษณะดังนี้:
การมีส่วนร่วมของชุมชน:
การทำธุรกิจในชุมชนมักมีการรวมกลุ่มของคนในท้องถิ่นที่มีความสนใจร่วมกันในการทำธุรกิจหรือพัฒนาอาชีพ
การพัฒนาอาชีพและการเรียนรู้:
ธุรกิจชุมชนมักมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการทำงานและการเสริมสร้างอาชีพใหม่ๆ เช่น การฝึกอบรมหรือการสนับสนุนความรู้ให้กับสมาชิกในชุมชน
การสร้างรายได้และความยั่งยืน:
ธุรกิจที่มีการพัฒนาจากชุมชนสามารถช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืนและลดปัญหาความยากจนในพื้นที่
การส่งเสริมความร่วมมือ: ธุรกิจชุมชนช่วยสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชน, หน่วยงานท้องถิ่น, และหน่วยงานภายนอก เช่น องค์กรการศึกษา หรือรัฐบาล
2. ตลาดโมเดล (Market Model)
ตลาดโมเดลหมายถึงการสร้างระบบการตลาดที่ใช้เพื่อเชื่อมโยงสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิต (หรือผู้ประกอบการ) ไปสู่ผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเป็นทั้งตลาดแบบดั้งเดิมหรือตลาดที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการเชื่อมต่อ
ประเภทของตลาดโมเดล
ตลาดท้องถิ่น: ตลาดที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น หรือสินค้าที่ชุมชนสามารถผลิตได้ เช่น ตลาดเกษตรกร, ตลาดชุมชน, ตลาดสินค้าท้องถิ่น
ตลาดดิจิทัล (Digital Market): การนำเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมาใช้ในตลาด โดยสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างสะดวก ตัวอย่างเช่น การขายผ่าน e-commerce หรือการใช้โซเชียลมีเดียในการส่งเสริมการขาย
ตลาดแบบ B2C หรือ C2C: ตลาดที่เชื่อมโยงระหว่างธุรกิจกับลูกค้า (Business to Consumer) หรือระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง (Consumer to Consumer) ซึ่งมักมีการทำธุรกรรมทางออนไลน์หรือในรูปแบบอื่นๆ
3. การสร้างและพัฒนาธุรกิจชุมชนผ่านตลาดโมเดล
การสร้างธุรกิจชุมชนที่สามารถเติบโตและยั่งยืนได้ในยุคปัจจุบันนั้น การใช้ตลาดโมเดลเข้ามาช่วยในการสร้างช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจในชุมชนสามารถขยายตลาดและเติบโตได้ ดังนี้:
การสร้างตลาดในชุมชนเอง:
ตลาดชุมชนเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าของชุมชนในพื้นที่ของตัวเอง เช่น การสร้างตลาดกลางในพื้นที่ที่ผู้ผลิตจากชุมชนต่างๆ สามารถนำสินค้ามาจำหน่าย
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เช่น การจัดงานเทศกาลสินค้าชุมชน หรือการจัดงาน "ตลาดนัดชุมชน" เพื่อดึงดูดผู้บริโภคและเพิ่มการขายสินค้าของชุมชน
การใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายตลาด:
การใช้ แอปพลิเคชัน หรือ เว็บไซต์ สำหรับการขายสินค้าของชุมชนออนไลน์ เช่น การสร้างแพลตฟอร์มการขายสินค้าในชุมชนหรือการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ที่ใหญ่กว่า เช่น Lazada, Shopee หรือ Facebook Marketplace
การใช้ โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, หรือ Line Official Account ในการประชาสัมพันธ์สินค้าของชุมชนและเพิ่มช่องทางการขาย
การสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจอื่นๆ:
การสร้างเครือข่ายการทำธุรกิจร่วมกับธุรกิจภายนอก เช่น การสร้างพันธมิตรกับ ธุรกิจในท้องถิ่น หรือ บริษัทใหญ่ เพื่อขยายการจำหน่ายสินค้าของชุมชน
4. ประโยชน์ของการสร้างธุรกิจชุมชนผ่านตลาดโมเดล
เพิ่มรายได้ในชุมชน: เมื่อสมาชิกในชุมชนสามารถเข้าถึงตลาดและมีช่องทางในการขายสินค้าที่มีคุณภาพได้ จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
สร้างงานและอาชีพ: ธุรกิจชุมชนสามารถสร้างงานใหม่ๆ และสนับสนุนให้คนในชุมชนพัฒนาอาชีพใหม่ๆ
พัฒนาทักษะ: คนในชุมชนจะได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ เช่น การขาย, การตลาด, การจัดการธุรกิจ หรือการใช้เทคโนโลยีในการทำธุรกิจ
ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ: ตลาดโมเดลที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนสามารถช่วยให้เศรษฐกิจของชุมชนเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจาก Workshop ธุรกิจชุมชน และ ตลาดโมเดล
1. ผู้เข้าร่วมจะมีความรู้และทักษะในการสร้างและพัฒนาธุรกิจชุมชนที่มีคุณภาพและยั่งยืน
2. ผู้เข้าร่วมสามารถวิเคราะห์ตลาดและกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจในชุมชนของตน
3. ผู้เข้าร่วมสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และสร้างความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ในตลาดทั่วไป
4. การพัฒนาเครือข่ายการร่วมมือในชุมชนที่ส่งผลให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งและสามารถเติบโตได้ในระยะยาว
5. ผู้เข้าร่วมมีความเข้าใจในการจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ได้จริงในการดำเนินธุรกิจในชุมชน
กิจกรรมการเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติที่ผู้เรียนลงมือทำการตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนซากแพะ เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการทำความเข้าใจวิธีการจัดการและแปรรูปแพะเพื่อใช้ประโยชน์จากเนื้อและส่วนอื่นๆ ให้เกิดความคุ้มค่า ในกิจกรรมนี้ ผู้เรียนจะได้รับทักษะในการใช้เครื่องมือที่ถูกต้องและปลอดภัย รวมถึงการแบ่งชิ้นส่วนซากแพะให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ในอาหารหรือการแปรรูปอื่นๆ เช่น การทำเนื้อแห้ง การผลิตเนื้อสด หรือการผลิตผลิตภัณฑ์จากหนังและขน โดยปฏิบัติการแปรสภาพแพะตามหลักการฮาลาล ในการแปรสภาพแพะเพื่อบริโภคตามข้อบัญญัติของศาสนาอิสลาม ต้องเป็นการฆ่าสัตว์เพื่อบริโภค และเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และการคำนวณองค์ประกอบของซากสัตว์ หรือ การคำนวณองค์ประกอบของซากเนื้อสัตว์ การประเมินส่วนประกอบต่างๆ ของซากสัตว์หลังการฆ่า ซึ่งประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญ เช่น เนื้อ, กระดูก, ไขมัน, เครื่องใน และส่วนอื่นๆ โดยการคำนวณนี้มักใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเนื้อสัตว์และเพื่อคำนวณปริมาณหรือการจัดสรรส่วนต่างๆ ของสัตว์ในเชิงเศรษฐกิจ
• การแปรสภาพแพะตามหลักการฮาลาล
- การฆ่าแพะที่ถูกต้องตามหลักการฮาลาลเรียกว่า ซิบะฮะ (Zibah) ซึ่งเป็นกระบวนการฆ่าสัตว์โดยใช้ การกล่าวคำบิสมิลลาห์ (Bismillah) และการกล่าวคำของอัลลอฮ์ เมื่อฆ่าแพะจะต้องกล่าวคำ "บิสมิลลาห์ อัลลอฮุอักบาร์" (Bismillah Allahu Akbar) ซึ่งหมายถึง "ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่" ก่อนทำการฆ่า เพื่อให้กระบวนการฆ่าเป็นไปตามหลักศาสนา
วิธีการฆ่า: การฆ่าจะต้องใช้ มีดที่คม และต้องทำการตัดที่ หลอดลม และหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งจะช่วยให้เลือดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แพะตายอย่างมนุษยธรรมและไม่ตกอยู่ในสภาพที่ทนทุกข์ ห้ามฆ่าสัตว์ที่มีอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บหรือมีสภาพไม่เหมาะสม เช่น แพะที่ตายเองหรือถูกฆ่าด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามหลักฮาลาล
• การตัดแต่งซากแพะ
1. ตัดหัวออก โดยใช้มีดตัดแยกหัวออกจากลำตัว โดยตัดจากรอยเชือดคอเดิมซึ่งอยู่บริเวณคอหอยไปยังข้อต่อระหว่างกระดูกคอกับกระดูกกะโหลก
2. ตัดแข้งหน้าและแข้งหลัง โดยตำแหน่งของการตัดแข้งหน้าตรงข้อต่อของกระดูกแข้งออกจากกระดูกขาส่วนล่าง มีลักษณะรอยที่หัวกระดูกแข้งหน้า และตำแหน่งของการตัดแข้งหลังออกจากกระดูกขาหลังส่วนล่าง
3. ใช้มีดคว้านรอบทวารหนักจากนั้นใช้ยาง หรือเชือดรัดปิดรูทวารไม่มีมูลทะลักออกมาเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของมูลไปยังซากและส่วนต่างๆของซาก
4. เลาะหนัง (ถลกหนัง) ออกจากซากเป็นขั้นตอนตามมาตรฐานสากล เริ่มจากการผ่าเปิดหนังด้านในของขาหลัง แล้วใช้มีดกรีดมาบรรจบที่จุดกึ่งกลางระหว่างขา เลาะหนังรอบๆ ขาออก จากนั้นกรีดหนังบริเวณท้องลงมาไปจนถึงยอดอก เลาะหนังจากขาหลัง สะโพก ลำตัว ไหล่ลงมาจนหนังหลุดออก
5. เปิดซากเพื่อเอาอวัยวะภายในออก เริ่มจาการใช้มีดผ่าเปิดหน้าท้องตรงตำแหน่งใต้กระดูกเชิงกรานไล่ลงไปจนถึงบริเวณกระดูกหน้าอกเพื่อเอาระบบทางเดินอาหาร ตับ ปอด ขั้วปอด และหัวใจออกก่อนที่จะนำซากไปล้างและแช่เย็น
6. ล้างทำความสะอาดซาก โดยจะทำความสะอาดหลังจากตกแต่งซากก่อนที่จะนำซากเข้าไปในห้องเย็น หรือส่งขายในซากอุ่น โดยการล้างทำความสะอาดซากจะทำโดยการฉีดน้ำแบบพ่นฝอยเพื่อล้างคราบเลือด เศษกระดูก มูล และสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ที่อยู่ส่วนนอกจากซาก ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นจึงนำไปชั่งน้ำหนักซากอุ่น แล้วนำไปแช่เย็นที่อุณหภูมิ 3-5 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังจากแพะตาย
• การตัดแต่งซากเป็นส่วนใหญ่
การตัดแต่งซากแพะที่เน้นโดยแบ่งออกเป็นการตัดแต่งซกออกเป็นส่วนใหญ่ และการตัดแต่งซากเป็นชิ้นส่วนย่อย ซึงการตัดแต่งซากมีความแต่งต่างจากรูปแบบการตัดแต่งแบบพื้นบ้านที่มุ่งเน้นเพียงการตัดแยกชิ้นส่วนของเนื้อแดงออกจากซากเพื่อนำไปทำเมนูทั่วไป เช่น คั่วกลิ้ง มัสมั่น และซุป เป็นต้น
1. คอ
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่ตัดแยกผ่านกระดูกคอที่ต่อกับกระดูกสันหลังช่วงอก
2. ไหล่
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนไหล่ทั้งหมด โดยนำซากที่ตัดแยกส่วนคอ อกและพื้นท้อง และขาหน้าออก แล้วตัดแยกส่วนไหล่ออกจากซากส่วนที่เหลือตรงตำแหน่งระหว่างซี่โครงซี่ที่4 และ 5
3. อกและพื้นท้อง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : การตัดส่วนอกแบบที่ 1 จะตัดตามขวางกระดูกซี่โครงให้ขนานกับกระดูกสันหลัง กว้างประมาณ 1 ใน 3 ของความกว้างของกระดูกอกถึงกระดูกสันหลัง ให้ติดเนื้อส่วนพื้นท้อง
4. ไหล่และอก
ตำแหน่งที่ตัดแยก : การตัดส่วนอกแบบที่ 2 จะแบ่งส่วนไหล่และอกออกจากวาก โดยตั้งฉากกับกระดูกสันหลังตรวตำแหน่งระหว่าซี่โครงซี่ที่ 3 กับ 4 แล้วแยกส่วนอกออกจากส่วนไหล่อีกครั้ง โดยแบ่งครึ่งตัด ได้ส่วนไหล่ การตัดแบบนี้จะได้เนื้อส่วนอกและไหล่ที่มีกระดูกใบพายติดมาด้วยกัน
5. ขาหน้า
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนที่ตัดแยกออกจากซาก โดยเลาะตรงซอกขาหน้าชิดกับลำตัว
6. ซี่โครง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่ตัดผ่านกระดูกสันหลังตรงซี่โครงซี่ 6 ถึงซี่โครงที่ 12
7. สะเอว
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่ตัดผ่านกระดูกสันหลังตรงกระดูกซี่โครงที่ 13 จนถึงกระดูกสันหลังข้อสุดท้าย
8. สะโพกและขาหลัง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนตัดส่วนสะโพกและขาหลังโดยตัดตั้งฉากกับลำตัวผ่านกระดูกสันหลัง
• การตัดแยกซากออกเป็นชิ้นส่วนย่อย
1. ส่วนคอและไหล
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นชิ้นส่วนสำคัญ ก่อนที่จะตัดแยกส่วนนี้จะทำการเลาะแยกชิ้นส่วนขาหน้าออกไปก่อน จากนั้นจึงใช้เลื่อยตัดแยกส่วนอกออก แล้วจึงตัดแยกส่วนคอและไหล่ออกจากส่วนซี่โครงจะตัดตรงกระดูกซี่โครงซี่ที่ 5 กับ 6
การนำไปประกอบอาหาร : แกง ผัด แพะตุ๋น
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก และเจอร์กี้
2. หน้าอก พื้นท้อง และแข้งหน้า
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ในการตัดแยกชิ้นส่วนหน้าอกและพื้นท้อง จะตัดแยกชิ้นไหล่ส่วนอกที่รวมทั้งขาหน้าออกมาด้วย ซึ่งจะทำโดยการใช้เลื่อยตัดแบ่งส่วนไหล่ซึ่งมีกระดูกใบพายและกระดูกขาหน้าส่วนบนออกไป ส่วนที่เหลือคือส่วนหน้าอก แข้งหน้า และพื้นท้อง
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ ชาบู บาบีคิว ย่าง ผัด
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก เบคอน
3. ขาหน้า
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ขาหน้าประกอบด้วยส่วนที่เป็นกระดูกใบพาย กระดูกฮิวเมอรัส กระดูกดียส-อูลน่า คาร์ปอล และกระดูกเมทต้า คาร์ปอล จากนั้นเลาะแยกออกจากส่วนลำตัว แล้วนำไปตัดแยกเอากระดูกใบพายออก ส่วนที่เหลือก็จะตัดเป็นชิ้นๆ หนาประมาณ 3 ใน 4 ส่วนตรงกระดูกใบพายก็จะเลาะแยกออกมาใช้ประโยชน์
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ แจ่วฮ้อน ชาบู แกง
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก
4. ซี่โครง หรือสันซี่โครง
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ซี่โครงเป็นชิ้นส่วนที่ตัดแยกออกจากส่วนไหลตั่งแต่กระดูกซี่โครงซี่ที่ 5 และตัดแยกออกจากส่วนสะเอวออกตรงซี่โครงซี่ที่ 12
การนำไปประกอบอาหาร : ย่าง อบ
5. สะเอว
ตำแหน่งที่ตัดแยก : เป็นส่วนที่มีกล้ามเนื้อสันในติดมาด้วย นิยมตัดให้เป็นชิ้นๆ หรืออาจจะตัดเลาะเอากระดูกซี่โครงที่ติดมาออกก็จะได้เนื้อชิ้นใหญ่ที่มีลักษณะเป็นแผ่นออกมา
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ แจ่วฮ้อน ชาบู ผัด อบ
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก
6. ขาหลังและสะโพก
ตำแหน่งที่ตัดแยก : ชิ้นส่วนขาและสะโพกสามารถตัดแยกออกได้เป็นชิ้นที่แยกเอากระดูก หรืออาจจะตัดแยกเอาส่วนแข้งออก หรืออาจจะแยกส่วนสะโพกออกไปด้วย
การนำไปประกอบอาหาร : เนื้อสไลด์ แจ่วฮ้อน ชาบู ผัด แกง แพะตุ๋น
การนำไปแปรรูป : ลูกชิ้น ไส้กรอก
การตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนซากแพะแบบสากลและตามหลักการฮาลาและการแปรสภาพแพะเพื่อการใช้ประโยชน์โดยการแปรสภาพแพะเป็นกระบวนการสำคัญอย่างหนึ่งของการผลิตเนื้อแพะที่มีคุณภาพดีโดยทางสากลการแปรสภาพแพะจากมีชีวิตเป็นซากแบ่งออกได้เป็นสองช่วงเวลา ช่วงแรก เป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวแพะมีชีวิตให้อยู่ในสภาพพร้อมต่อเนื่องไปจนถึงสลบ หรือหมดความรู้สึก ด้วยเครื่องมือกล เช่นการใช้ปืนทำให้สลบ หรือใช้ไฟฟ้าช็อค จากนั้นเข้าสู่ช่วงที่สอง คือ การเชือดคอ หรือแทงคอเอาเลือดออก ซึ่งต้องทำอย่างมีมนุษยธรรมและถูกต้องตามหลักสากล ทั้งนี้เพื่อให้แพะตายอย่างรวดเร็ว ไม่ทรมาน เลือดจากซากมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซากได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด และทุกขั้นตอนต้องเน้นความสะอาด
การจัดการตัวแพะก่อนแปรสภาพ
ตามมาตรฐานสากลการจัดการตัวแพะก่อนแปรสภาพเพื่อให้ได้แพะที่มีความสมบูรณื มีสุขภาพดี ไม่อ่อนแอ ไม่อมโรค ไม่เจ็บป่วย ไม่อยู่ในระยะรักษาหรือพักฟื้น ต้อวกระทำอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ทั้งนั้นให้ได้แพะที่มีความสมบูรณ์ก่อนที่จะส่งไปแปรสภาพ
การตรวจร่างกายก่อนแปรสภาพ
การตรวจสุขภาพร่างกายก่อนนำไปแปรสภาพเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ต้องดำเนินการ เพื่อรับประกันว่าสัตว์ที่จะนำมาฆ่าเพื่อบริโภคมีสุขภาพดี ไม่อมโรค ไม่เป็นโรคติดต่อ ไม่เป็นพาหะนำโรค หรือไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นสร้างความมั่นใจว่าแพะที่นำมาแปรสภาพมีความสมบูรณืเหมาะสม จึงเป็นการตรวจสอบขั้นต้น โดยวิธีการสังเกตดูรูปร่างและลักษณะอาการทั่วไปของสัตว์ เช่น พฤติกรรม เดิน ยืน นอน พฤติกรรมการขับถ่ายปัสสาวะและมูล สีของปัสสาวะ ลักษณะของมูล ลักษณะการบวมตามจุดต่างๆของร่างกาย
การประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายแพะ
การประเมินความสมบูรณ์ของร่างกายแพะ เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสภาพร่างกายของแพะ เช่น ผอมมาก ผอม อ้วน หรืออ้วนมาก ใช้เพื่อตัวบ่งบอกถึงการเลี้ยงดู การจัดการด้านอาหาร และสุขภาพ ทั้งนี้การประเมินความสมบูรณืของร่างกายแพะมีความสัมพันธ์กับข้อมูลการพัฒนาและปรับปรุงพันธ์ การจัดการด้านอาหาร การดูแลสุขภาพสัตว์ การจัดการฆ่าและซาก โดยแบ่งค่าคะแนนออกเป็น 5 ระดับ
• ผอมมากที่สุด
สภาพร่างกายของแพะ : สวาบบุ๋มลึก สังเกตเห็นปุ่มของกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกโคนหางอย่างชัดเจน ส่วนเอวมองเห็นของกระดูกสันหลังชัดเจน ช่วงอกเล็ก และมองเห็นกระดูกซี่โครงชัดเจน กล้ามเนื้อทุกส่วนลีบเล็ก ไม่ปรากฏว่ามีไขมันปกคลุมอยู่บริเวรส่วนหลังและส่วนสะโพก รวมทั้งไม่มีไขมันสะสมอยู่รอบๆจุดต่อตรงส่วนยอดกระดูกสันหลัง โดยปกติแพะที่อยู่ในสภาพนี้จะไม่นำมาฆ่าเพื่อบริโภค
• ผอม
สภาพรางกายของแพะ : ร่างกายแพะมีสภาพผอม แต่ไม่โทรมมากแต่ยังมองเห็นกระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกโคนหางที่ชัดเจน สภาพนี้ยังไม่ควรนำไปแปรสภาพเพื่อบริโภค
• ปานกลาง
สภาพร่างกายแพะ : ร่างกายของแพะมีกล้ามเนื้อมากกว่าระดับผอม แต่แพะไม่ได้อ้วนยังสามารถสัมผัสโดนบ้างส่วนของกระดูกซี่โครง ส่วนหัวและส่วนปลายของกระดูกสันหลังในการเตรียมแพะ เพื่อนำไปแปรสภาพเป็นเนื้อ
• อ้วน
สภาพร่างกายแพะ : สัมผัสเจอเนื้อในปริมาณมากกว่าระดับปานกลาง โดยสัมผัสไม่เจอกระดูก ไม่สัมผัสส่วนปลายของกระดูกสันหลัง สะโพกและก้นกล้ามเนื้อเต็ม แลหน้าอกแน่นเต็ม
• อ้วนมากเกินไป
สภาพร่างกายแพะ : ร่างกายแพะสภาพอ้วนมาก เมื่อใช้มือคลำพบว่าร่างกายมีไขมันใต้ผิวหนังมาก รวมทั้งในส่วนยอดอกไหล่และสีข้าง ช่องท้อง ระหว่าซี่โครง สะโพก โคนหาง และหางมีไขมันสะสมอยู่มากจนสัมผัสไม่พบส่วนกระดูก
ลักษณะทางกายวิภาคของแพะ
แพะเป็นสัตว์ที่มีโครงสร้างทางกายวิภาคที่คล้ายคลึงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป มีอวัยวะภายในที่สำคัญเช่น หัวใจ ปอด ตับ และไต กระดูกของแพะมีลักษณะเบาและแข็งแรง ทำให้เหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นเนื้อ
• การตัดแยกซากออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่
การตัดแต่งซากแพะเริ่มต้นจากการแบ่งซากออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ ซึ่งมักแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ
ซีกหน้าหรือส่วนหน้า (Forequarters): ประกอบด้วยส่วนของไหล่ ขาหน้า และส่วนที่ติดกับกระดูกอก
ซีกหลังหรือส่วนหลัง (Hindquarters): ประกอบด้วยส่วนสะโพก ขาหลัง และกระดูกสันหลังส่วนท้ายในการแบ่งชิ้นส่วนใหญ่ ควรใช้มีดที่คมและแข็งแรง เพื่อให้การตัดมีความแม่นยำและไม่ทำให้เนื้อเสียหาย
• การแบ่งชิ้นส่วนแพะได้อย่างถูกต้อง
การแบ่งชิ้นส่วนแพะอย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถนำไปทำอาหารได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปแล้วการแบ่งชิ้นส่วนของแพะจะแบ่งตามการใช้ประโยชน์ เช่น
ส่วนที่ใช้ทำสเต๊ก: จะใช้เนื้อจากบริเวณหลัง เช่น สันในและสันนอก
ส่วนที่ใช้ทำแกงหรือต้ม: เช่น ขาหรือเนื้อจากส่วนหน้า
ส่วนที่ใช้ทำลาบหรือลูกชิ้น: เช่น เนื้อจากสะโพกหรือขาหน้า
• การตัดชิ้นส่วนย่อย
การตัดชิ้นส่วนย่อยจะทำได้ดีเมื่อแบ่งชิ้นส่วนใหญ่แล้ว ตัดเนื้อจากส่วนที่เป็นสะโพกหรือขาหลังออกเป็นชิ้นเล็กๆ สำหรับนำไปปรุงในแบบต่างๆ การตัดแต่งให้ชิ้นเนื้อมีขนาดพอดีและเหมาะสมกับประเภทการปรุง เช่น การต้ม การย่าง หรือการทอด
• การตัดแต่งแบบไทย
ในการตัดแต่งแบบไทยนั้นมักจะมีการแยกชิ้นส่วนเนื้อเพื่อให้เหมาะสมกับการทำอาหารไทย เช่น การทำแกงเผ็ด เนื้อแพะจะถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ที่สะดวกในการเคี่ยวและดูดซึมรสชาติของเครื่องเทศ นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรและเครื่องปรุงอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้เนื้อแพะ
• วิธีการทำเนื้อแพะสไลด์ขึ้นรูป
การทำเนื้อแพะสไลด์ขึ้นรูปนั้นมีวิธีที่สามารถทำได้หลายแบบ โดยทั่วไปแล้วจะต้องใช้มีดที่คมและบางเพื่อให้สามารถสไลด์เนื้อแพะได้บางและสม่ำเสมอ เทคนิคที่นิยมใช้ได้แก่:
การแช่แข็งเนื้อแพะ: เพื่อให้เนื้อแข็งและสามารถตัดได้บางยิ่งขึ้น
การใช้เครื่องสไลด์เนื้อ: เครื่องสไลด์ที่มีใบมีดคมสามารถช่วยให้การตัดเนื้อแพะเป็นชิ้นบางๆ มีขนาดเท่ากันและดูสวยงาม การตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนแพะที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพดีในการนำไปใช้ทำอาหารต่างๆ ตามความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการอาหาร
ผลลัพธ์และความคาดหวังจากการตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนซากแพะ
1. ผู้เรียนจะสามารถใช้มีดและเครื่องมืออื่นๆ ในการตัดแต่งและแบ่งชิ้นส่วนของซากแพะได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งการแยกส่วนต่างๆ เช่น เนื้อ, กระดูก, ไขมัน, เครื่องใน โดยให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยขณะทำงาน
2. ผู้เรียนจะสามารถเข้าใจในโครงสร้างซากแพะ ระบุและเข้าใจโครงสร้างของซากแพะและส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตอาหารหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น การแยกเนื้อส่วนที่มีคุณภาพสูงจากส่วนที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป
3. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิธีการใช้และดูแลรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตัดแต่งซากสัตว์ เช่น มีด, เครื่องมือสำหรับแยกกระดูก, และเครื่องมือสำหรับการทำความสะอาด
4. ผู้เรียนจะเข้าใจความสำคัญของการทำงานอย่างปลอดภัย เช่น การป้องกันการบาดเจ็บจากมีด, การใช้ถุงมือ, การดูแลสุขอนามัยและการจัดการกับซากสัตว์อย่างเหมาะสม
5. ผู้เรียนจะสามารถวิเคราะห์วิธีการตัดแต่งที่มีประสิทธิภาพและสามารถเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ เช่น การแปรรูปเนื้อหรือกระดูกให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติที่เกี่ยวกับการทำ แกงมัสมั่นเนื้อ เป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการทำอาหาร แต่ยังเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องของการเลือกวัตถุดิบ การปรุงรส และการปรับรสชาติให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน โดยเฉพาะในขั้นตอนของการปรุงแกงมัสมั่นเนื้อ ซึ่งเป็นอาหารไทยที่มีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมจากเครื่องเทศต่างๆ โดยกิจกรรมในส่วนปฏิบัติที่ผู้เรียนลงมือทำ แกงมัสมั่นเนื้อ เป็นการเรียนรู้ที่เน้นการฝึกทักษะและการประยุกต์ใช้เทคนิคต่างๆ ที่สำคัญในการทำอาหาร ช่วยเพิ่มประสบการณ์และความมั่นใจให้กับผู้เรียนในการทำอาหารไทยที่มีความซับซ้อน พร้อมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับรสชาติและการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ
ขั้นตอนการสอนและกิจกรรม
1. เตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบ
ก่อนเริ่มทำการสอนผู้เรียนจะได้รับการแนะนำเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำแกงมัสมั่นเนื้อ เช่น หม้อ, กระทะ มีด, เขียง, ช้อนตัก, และภาชนะสำหรับการเตรียมวัตถุดิบ พร้อมทั้งการจัดเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็น
• เนื้อวัวหั่นชิ้นพอดีคำ
• มันฝรั่ง (หั่นสี่เหลี่ยม)
• หอมใหญ่, กระเทียม, ขิง, ตะไคร้
• พริกแห้ง, ผงมัสมั่น, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, กะทิ
• เครื่องแกงมัสมั่น
2. วิธีการปรุง
• การเตรียมเครื่องแกง: สอนการโขลกเครื่องแกงมัสมั่นที่ประกอบด้วยพริกแห้ง, หอมแดง, กระเทียม, ขมิ้น, ลูกผักชี, ยี่หร่า, และพริกไทยดำ
• การผัดเครื่องแกง: ใส่น้ำมันลงในกระทะแล้วนำเครื่องแกงที่โขลกแล้วลงผัดจนหอม
• การทำแกง: ใส่เนื้อวัวลงไปผัดให้เนื้อเกือบสุก จากนั้นใส่กะทิ, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, และปรุงรสตามต้องการ
• การต้มจนเนื้อนุ่ม: ใส่มันฝรั่งและตะไคร้ลงไป ต้มจนเนื้อวัวนุ่มและมันฝรั่งสุก
• การปรับรสชาติ: ตรวจสอบรสชาติของแกงและปรับรสชาติตามที่ต้องการ เช่น เพิ่มน้ำตาลปี๊บหรือเกลือเล็กน้อยเพื่อให้แกงมีรสกลมกล่อม โดยการลงมือทำของผู้เรียน หลังจากการอธิบายแล้ว ผู้เรียนจะได้รับโอกาสในการลงมือทำจริง โดยผู้เรียนจะทำตามขั้นตอนดังกล่าว โดยมีคำแนะนำและช่วยเหลือระหว่างการทำ เช่น การปรับรสชาติ การผัดเครื่องแกง การเลือกเวลาในการต้ม
3. การเสริมทักษะ
ในระหว่างการทำ ผู้เรียนจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ เช่น:
• การเลือกเนื้อวัวที่เหมาะสมสำหรับทำแกงมัสมั่น
• วิธีการเลือกเครื่องเทศและการผัดเครื่องแกงให้หอม
• เทคนิคการปรับรสชาติให้มีความสมดุลระหว่างรสหวาน เปรี้ยว และเค็ม
ผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง (Ready-to-Cook) และ พร้อมบริโภค (Ready-to-Eat) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค โดยสามารถลดเวลาการเตรียมอาหารหรือการปรุง โดยทั้งสองประเภทมีความแตกต่างในแง่ของกระบวนการและวัตถุประสงค์ในการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ
1. ผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง (Ready-to-Cook)
ผลิตภัณฑ์ พร้อมปรุง คือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการแปรรูปและปรุงรสล่วงหน้าแล้ว แต่ยังคงต้องการการปรุงในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการรับประทาน เช่น การหมักเนื้อ, เนื้อที่เสียบไม้, หรือเนื้อที่ผสมเครื่องเทศแล้ว เป็นต้นซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการทำอาหารและเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน
ลักษณะของผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง
• วัตถุดิบที่เตรียมไว้ล่วงหน้า: เช่น เนื้อสัตว์หั่นเป็นชิ้น ขิงหั่นฝอย หรือผักล้างสะอาดพร้อมปรุง
• การปรุงรสที่พร้อม: ส่วนผสมต่างๆ เช่น เครื่องเทศ ซอส หรือหมักให้เข้าที่แล้ว
• ขั้นตอนการปรุงที่ง่าย: ผู้บริโภคเพียงแค่ทำการปรุงให้สุก เช่น การผัด ทอด หรือทำอาหารประเภทต่างๆ ที่ไม่ซับซ้อน
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง
1. เนื้อหรือไก่หมัก: เช่น เนื้อสะเต๊ะ ไก่หมักสำหรับทำปีกไก่ทอด
2. ชุดอาหารพร้อมทำ: เช่น ชุดทำสุกี้ ชุดทำข้าวผัด ที่มีทั้งเนื้อสัตว์และผักพร้อมให้ใช้
3. อาหารแช่แข็งพร้อมทำ: เช่น แฮมเบอร์เกอร์ ซีฟู้ดผัดผงกะหรี่
4. ผักและผลไม้พร้อมใช้: เช่น ผักสลัดที่ล้างและหั่นเสร็จเรียบร้อย
ข้อดีของผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง
• สะดวกสบายและรวดเร็ว: ลดเวลาการเตรียมวัตถุดิบ
• เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลา: สะดวกในการทำอาหารในชีวิตประจำวัน
• ควบคุมปริมาณ: ไม่ต้องห่วงเรื่องการเหลืออาหาร เพราะผลิตภัณฑ์มักจะมีขนาดพอเหมาะสำหรับการรับประทาน
• ช่วยให้การทำอาหารง่ายขึ้น: เหมาะกับคนที่ไม่เก่งในการทำอาหารหรือไม่ชำนาญในการปรุงรส
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อ
1. คุณภาพของวัตถุดิบ: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่
2. ความหลากหลายของเมนู: ควรมีหลากหลายเมนูให้เลือก เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซาก
3. การเก็บรักษา: ตรวจสอบการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ เช่น มีการแช่แข็งหรือบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษาความสดใหม่
4. ราคา: ควรพิจารณาราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพของอาหาร
2. ผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภค (Ready-to-Eat)
ผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภค คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปรุงจนสุกแล้วและพร้อมสำหรับการรับประทานทันทีโดยไม่ต้องทำการปรุงเพิ่มเติม เพียงแค่อุ่นหรือทานได้เลย เช่น อาหารพร้อมทานที่สามารถอุ่นในไมโครเวฟ หรือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร (เช่น การอบ, การต้ม, การนึ่ง)
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภค:
• สตูเนื้อ: เช่น สตูเนื้อมัสมั่นหรือสตูเนื้อซอส
• แฮมเบอร์เกอร์: แฮมเบอร์เกอร์สำเร็จรูปที่ปรุงสุกแล้ว
• เนื้ออบ: เนื้ออบในซอสหรือหมักเสร็จแล้ว
• เนื้อในน้ำซุป: เช่น เนื้อในซุปเนื้อหรือแกงที่ปรุงเสร็จแล้ว
• อาหารกระป๋อง: เช่น เนื้อในกระป๋องที่ปรุงพร้อมทาน
ขั้นตอนการผลิต:
1.การเลือกเนื้อ
คัดเลือกเนื้อที่สดใหม่และเหมาะสมกับการปรุงให้สุก เช่น สันใน, สันนอก, หรือเนื้อจากส่วนสะโพก
2.การปรุงอาหาร
ทำการปรุงสุกเนื้อให้รสชาติกลมกล่อม เช่น การต้ม, นึ่ง, หรืออบเนื้อในซอสหรือเครื่องเทศจนเนื้อมีรสชาติที่ต้องการ
3.การบรรจุภัณฑ์
บรรจุอาหารในภาชนะที่สามารถรักษาความสดใหม่และสะดวกต่อการทาน เช่น ถุงสูญญากาศ, กระป๋อง, หรือถุงพลาสติก
4.การเก็บรักษา
ผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภคควรเก็บในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง (ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์) และจะมีอายุการเก็บรักษาที่แตกต่างกันตามประเภทของอาหาร
ความแตกต่างระหว่าง Ready-to-Cook และ Ready-to-Eat:
Ready-to-Cook: ต้องการการปรุงในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการทาน เช่น หมักหรือปรุงรสล่วงหน้า แต่ยังคงต้องมีการปรุงรสหรือการทำให้สุกเพิ่มเติม
Ready-to-Eat: ได้รับการปรุงจนสุกและสามารถรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องการการปรุงเพิ่มเติม เพียงแค่การอุ่นหรือการทาน
กระบวนการผลิต Ready-to-Cook และ Ready-to-Eat:
การผลิตทั้งสองประเภทมีหลักการที่คล้ายกัน แต่จะมีความแตกต่างในขั้นตอนสุดท้ายที่ผลิตภัณฑ์ Ready-to-Cook ต้องการการปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้พร้อมรับประทาน ในขณะที่ Ready-to-Eat ได้รับการปรุงจนสุกและพร้อมบริโภคทันที
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัดการแปรรูปแกงมัสมั่นเนื้อ
1. ทักษะการทำอาหาร: ผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารไทยพื้นบ้านที่มีรสชาติอร่อย
2. การประยุกต์ใช้เทคนิค: การเรียนรู้การปรับรสชาติและการใช้เครื่องเทศอย่างถูกต้อง
3. การทำงานร่วมกัน: ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมนี้ร่วมกันในกลุ่ม ช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
กิจกรรมการเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติการแปรรูปเนื้อสัตว์เป็นส่วนสำคัญในการฝึกทักษะและความรู้ให้กับผู้เรียนในกระบวนการแปรรูปเนื้อสัตว์ โดยการเรียนการสอนในส่วนนี้จะเน้นไปที่การปฏิบัติจริงที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปเนื้อสัตว์ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการทั้งหมดและสามารถนำความรู้ไปใช้งานจริงได้ โดยจะแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อโคและชิ้นส่วนต่างๆ เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เนื้อฝอย (Shredded Beef), เนื้อแดดเดียว (Sun-dried Beef), เนื้อเสียบไม้ (Beef Skewers), และน้ำพริกเนื้อวัว (Beef Chili Paste)
1. การแปรรูปเนื้อฝอย (Shredded Beef)
การทำเนื้อฝอย คือการทำให้เนื้อมีลักษณะเป็นเส้นฝอยๆ ซึ่งมักใช้เนื้อส่วนที่มีเส้นใยกล้ามเนื้อเยอะและเหนียว เช่น เนื้อส่วนไหล่ (Chuck), สะโพก (Round) หรืออก (Brisket)
• ขั้นตอนการทำเนื้อฝอย:
- การเลือกเนื้อ
เลือกเนื้อที่มีเส้นใยกล้ามเนื้อหนา เพื่อให้สามารถทำให้เป็นฝอยได้ง่าย
- การต้มเนื้อ
ต้มเนื้อในน้ำที่มีเครื่องเทศและสมุนไพร เช่น กระเทียม, หอม, รากผักชี และซอสปรุงรสให้เนื้อสุกและนุ่ม
- การฉีกเนื้อ
เมื่อเนื้อต้มสุกและนุ่มแล้ว ให้นำเนื้อขึ้นจากน้ำและใช้มือหรือเครื่องมือในการฉีกเนื้อให้เป็นเส้นฝอยๆ
- การปรุงรส
การปรุงรสเนื้อฝอยด้วยซอสต่างๆ เช่น ซอสบาร์บีคิว, ซอสถั่วเหลือง หรือซอสปรุงรสที่ชอบ เพื่อให้มีรสชาติกลมกล่อม
- การบรรจุ
สามารถเก็บเนื้อฝอยในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิทเพื่อนำไปขายหรือใช้ในเมนูต่างๆ เช่น แฮมเบอร์เกอร์ หรือเสิร์ฟพร้อมข้าว
2. การทำเนื้อแดดเดียว (Sun-dried Beef)
เนื้อแดดเดียว เป็นการถนอมเนื้อด้วยวิธีการแห้งด้วยแสงแดด ซึ่งเหมาะสำหรับการทำเนื้อที่มีรสชาติกลมกล่อมและสามารถเก็บรักษาได้นาน
• ขั้นตอนการทำเนื้อแดดเดียว
- การเลือกเนื้อ
เลือกเนื้อที่สดและมีไขมันน้อย เช่น เนื้อสะโพก (Round) หรือเนื้อส่วนอก (Brisket)
- การหั่นเนื้อ
หั่นเนื้อเป็นชิ้นบางๆ หรือชิ้นยาว เพื่อให้แห้งได้เร็วขึ้น
- การหมัก
- หมักเนื้อด้วยเครื่องเทศและซอสปรุงรส เช่น น้ำปลา, ซอสถั่วเหลือง, น้ำตาล, กระเทียม, พริกไทย และสมุนไพร
- การตากแดด
นำเนื้อที่หมักไว้ไปตากแดดในที่ที่มีอากาศร้อนและแห้ง โดยจะต้องคอยกลับเนื้อให้แห้งสม่ำเสมอ
- การเก็บรักษา
หลังจากเนื้อแห้งแล้ว สามารถเก็บรักษาในถุงหรือบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันความชื้นและการปนเปื้อน
3. การทำเนื้อเสียบไม้ (Beef Skewers)
เนื้อเสียบไม้ เป็นการนำเนื้อโคมาหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเสียบไม้เพื่อย่าง ซึ่งสามารถนำไปทำเป็นเมนูต่างๆ เช่น Kebab หรือ Satay
• ขั้นตอนการทำเนื้อเสียบไม้:
- การเลือกเนื้อ
เลือกเนื้อที่มีความนุ่มและมีไขมันพอสมควร เช่น เนื้อส่วนสะโพก (Sirloin) หรือเนื้อจากส่วนลอยน์ (Loin)
- การหั่นเนื้อ
หั่นเนื้อเป็นชิ้นขนาดพอดีประมาณ 1-1.5 นิ้ว เพื่อให้สะดวกในการเสียบไม้
- การหมักเนื้อ
หมักเนื้อด้วยซอสที่มีรสชาติกลมกล่อม เช่น ซอสถั่วเหลือง, น้ำมันมะกอก, กระเทียม, ขมิ้น, น้ำตาล, และพริกไทย
- การเสียบไม้
เสียบเนื้อที่หมักลงบนไม้หรือไม้เสียบ โดยสามารถใส่ผักสดหรือเห็ดเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ
- การย่าง
นำเนื้อที่เสียบไม้ไปย่างบนเตาหรือบาร์บีคิวจนสุกพอเหมาะ และมีสีทองกรอบทั้งด้านนอก
4. การทำน้ำพริกเนื้อวัว (Beef Chili Paste)
น้ำพริกเนื้อวัว เป็นน้ำพริกที่ใช้เนื้อโคเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้มีรสชาติหอมและรุนแรง และสามารถทานกับข้าวหรือขนมจีนได้
• ขั้นตอนการทำน้ำพริกเนื้อวัว
- การเลือกเนื้อ
เลือกเนื้อที่มีไขมันน้อย เช่น เนื้อสะโพกหรือเนื้อสันใน
- การปรุงเนื้อ
หั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ และต้มจนเนื้อสุกและนุ่ม
- การทำพริกแกง
ใช้เครื่องเทศต่างๆ เช่น พริกแห้ง, หอมแดง, กระเทียม, ข่าฝอย, ตะไคร้ และเครื่องเทศอื่นๆ ที่เหมาะสมกับรสชาติที่ต้องการ แล้วนำมาปั่นหรือโขลกจนละเอียด
- การผัดน้ำพริก
ผัดเครื่องเทศที่บดละเอียดในน้ำมันจนมีกลิ่นหอม และใส่เนื้อที่ต้มไว้ลงไปผัดรวมกับเครื่องเทศ
- การปรุงรส
ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส เช่น น้ำปลา, น้ำตาล, มะขามเปียก หรือซอสถั่วเหลือง เพื่อให้รสชาติกลมกล่อม
- การเสิร์ฟ
เสิร์ฟน้ำพริกเนื้อวัวพร้อมกับข้าวสวยหรือขนมจีน ตามความชอบ
หลักการแปรรูปเนื้อและชิ้นส่วนเป็นผลิตภัณฑ์มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อสัตว์ ทำให้เนื้อมีความหลากหลายในการใช้งาน และสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น การแปรรูปเนื้อสัตว์ไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา แต่ยังช่วยปรับปรุงรสชาติและลักษณะทางกายภาพของเนื้อสัตว์เพื่อให้เหมาะสมกับการบริโภคในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งการแปรรูปเนื้อและชิ้นส่วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือการเลือกวัตถุดิบที่ดี การรักษาความสะอาดและสุขอนามัย การเลือกวิธีการแปรรูปที่เหมาะสมและปลอดภัย รวมถึงการบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา การตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อสัตว์ที่แปรรูปออกมามีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและมีคุณภาพสูง การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อโคและชิ้นส่วนต่างๆ เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เนื้อฝอย (Shredded Beef), เนื้อแดดเดียว (Sun-dried Beef), เนื้อเสียบไม้ (Beef Skewers), และน้ำพริกเนื้อวัว (Beef Chili Paste) นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องการการดูแลและเทคนิคเฉพาะเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยในการบริโภค 1. การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การเลือกใช้เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพดีเป็นสิ่งสำคัญในการแปรรูป เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้ เช่น การเลือกเนื้อที่มีความสดใหม่ ไม่เน่าเสีย และปราศจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์หรือสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค 2. การรักษาความสะอาดและสุขอนามัย • การแปรรูปเนื้อสัตว์ต้องคำนึงถึงสุขอนามัยเป็นอย่างมาก โดยต้องรักษาความสะอาดทั้งในระหว่างกระบวนการผลิตและในทุกขั้นตอนการจัดเก็บและขนส่ง โดยใช้อุปกรณ์ที่สะอาด เช่น มีด, เครื่องจักร, และภาชนะในการแปรรูป เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคและการสะสมของสิ่งสกปรก 3. การใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม • การควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมในระหว่างกระบวนการแปรรูป เช่น การเก็บรักษาเนื้อที่อุณหภูมิที่ต่ำ (0-4 องศาเซลเซียส) เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และการใช้ความร้อนในกระบวนการรมควัน การทำอาหารสำเร็จรูป หรือการต้ม เพื่อฆ่าเชื้อและยืดอายุของเนื้อ 4. การใช้สารเคมีที่ปลอดภัย • การใช้สารกันบูดและสารปรุงรสต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้ เช่น การใช้เกลือในการหมักเนื้อหรือการเติมสารกันบูดที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และใช้สารเคมีในปริมาณที่เหมาะสมและไม่เกินกว่าที่กำหนด เพื่อป้องกันสารตกค้างในผลิตภัณฑ์ 5. การเลือกวิธีการแปรรูปที่เหมาะสม การเลือกวิธีแปรรูปที่เหมาะสมกับชนิดและลักษณะของเนื้อสัตว์นั้นสำคัญมาก โดยจะขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมีหลายประเภท เช่น • การทำเนื้อแห้ง (Drying): การทำให้เนื้อสูญเสียน้ำออกไป โดยการใช้ความร้อนหรือการตากแดด เช่น เนื้อแห้งหรือ Jerky • การทำเนื้อปรุงรส (Marinating): การหมักเนื้อกับเครื่องปรุงรสเพื่อเพิ่มรสชาติและความนุ่ม เช่น สเต็ก เนื้อเสียบไม้ เนื้อแดดเดียว เนื้อสวรรค์ 6. การบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม • การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น ฟิล์มห่ออาหาร, กระป๋อง, ภาชนะพลาสติก เป็นต้น เพื่อรักษาความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์และป้องกันการปนเปื้อนจากภายนอก • การบรรจุภัณฑ์ควรปิดสนิทและระบุข้อมูลที่สำคัญ เช่น วันที่ผลิต, วันหมดอายุ, สารประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ 7. การตรวจสอบคุณภาพ • การตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์แปรรูปต้องเป็นไปตามมาตรฐานขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจสอบความสะอาด, ความสดของเนื้อ, และการมีสารตกค้างจากสารกันบูดหรือสารเคมีต่าง ๆ • การทดสอบเชิงปฏิบัติ เช่น การทดสอบรสชาติ, ความนุ่ม, และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์หลังการแปรรูป 8. การควบคุมกระบวนการผลิต • การควบคุมกระบวนการผลิตต้องมีระบบที่มีประสิทธิภาพ เช่น การบันทึกข้อมูลการผลิต, การติดตามขั้นตอนการผลิต, และการตรวจสอบการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ • การควบคุมที่ดีจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูงและตรงตามมาตรฐาน ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัดการแปรรูปเนื้อและชิ้นส่วนเป็นผลิตภัณฑ์ 1. ผู้เรียนจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ได้ และสามารถเลือกวิธีการแปรรูปที่เหมาะสมกับชนิดของเนื้อสัตว์ได้ 2. ผู้เรียนสามารถนำทักษะที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปเนื้อสัตว์ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายในการตลาด 3. ผู้เรียนสามารถประเมินและวางแผนการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ให้มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ เช่น การวางแผนการผลิต, การตั้งราคาขาย, และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 4. ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน 5. ผู้เรียนสามารถปรับปรุงกระบวนการแปรรูปเนื้อสัตว์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการผลิต
กิจกรรมในส่วนปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการตัดแต่งซากโคและแปรรูปผลิตภัณฑ์จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการผลิตเนื้อคุณภาพสูงและปลอดภัย ตั้งแต่การตัดแต่งซากโค การแปรรูปเนื้อไปสู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เนื้อสไลด์และแฮมเบอร์เกอร์ รวมถึงการควบคุมคุณภาพและการบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม กระบวนการเหล่านี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อและอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
1. การปฏิบัติการตัดแยกซากโคออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ (Primal Cuts)
การตัดซากโคจะเริ่มต้นจากการแยกซากออกเป็นส่วนใหญ่ หรือที่เรียกว่า Primal Cuts ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างทางกายวิภาคของโค เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนเนื้อที่มีคุณภาพและเหมาะสมต่อการแปรรูปต่างๆ โดยส่วนหลักของซากโคมีดังนี้:
- Chuck (ไหล่) ส่วนไหล่ของโคมักใช้ทำเนื้อบด เนื่องจากเป็นเนื้อที่เหนียวสามารถทำเป็นสเต็กได้
- Rib (ซี่โครง) ส่วนซี่โครงจะประกอบด้วยกระดูกซี่โครงและเนื้อที่มีมาร์เบิลลิ่งดี ใช้ทำสเต็กซี่โครง และเนื้อย่าง
- Loin (เอว) ส่วนเอวเป็นส่วนที่มีคุณภาพสูงใช้ทำ สเต็ก และเนื้อฟิเลต์
- Round (สะโพก) ส่วนสะโพกมีเนื้อหนาและมักใช้ทำสเต็ก ชิ้นส่วนนี้สามารถทำเป็น เนื้อบด หรือ เนื้อย่าง ได้
- Brisket (อก) ส่วนอกของโคมักใช้ทำ เนื้อย่าง หรือ เนื้อหมักย่าง โดยมีลักษณะเหนียวและต้องการเวลาในการทำอาหารที่ยาวนาน
- Shank (ขา) ส่วนขาของโคใช้ทำ เนื้อสตูว์ หรือ เนื้อห่อหุ้ม ซึ่งต้องต้มเป็นเวลานานเพื่อให้เนื้ออ่อนนุ่ม
- Flank (ท้อง) ส่วนท้องใช้ทำ Flank steak ซึ่งมักใช้ในสเต็กหรือการย่าง
2. การตัดชิ้นส่วนย่อย (Retail Cuts)
หลังจากที่แยกซากโคออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่แล้ว จะมีการตัดชิ้นส่วนย่อย (Retail Cuts) เพื่อนำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อที่เหมาะสม โดยแต่ละชิ้นส่วนย่อยจะมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
โดยจะมีการตัดชิ้นส่วนย่อยเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานและการจำหน่าย โดยการตัดจะทำให้ได้ชิ้นเนื้อที่มีขนาดและลักษณะที่เหมาะสมสำหรับการปรุงอาหารที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของการตัดชิ้นส่วนย่อย ได้แก่:
Ribeye Steak (สเต็กจากซี่โครง)
T-bone Steak (สเต็กที่มีกระดูกรูปตัว T)
Sirloin Steak (สเต็กจากส่วนสะโพก)
Chuck Roast (เนื้อที่ตัดจากส่วนคอสำหรับการตุ๋นหรืออบ)
3.การแบ่งชิ้นส่วนของซากโคอย่างถูกต้อง
การตัดแต่งซากโคให้ได้ชิ้นส่วนที่เหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐานสากลจะช่วยให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพและสามารถนำไปแปรรูปได้อย่างหลากหลาย โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาคและการใช้งานของเนื้อในแต่ละส่วนที่ได้จากการตัดแต่ง ซากโคมีโครงสร้างที่เป็นระบบ โดยส่วนต่างๆ ถูกใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน เช่น:
เนื้อบด (Ground Beef): เนื้อจากส่วนที่เหนียว เช่น Chuck, Round, Brisket จะถูกบดเพื่อทำ เนื้อบด
เนื้อสำหรับสเต็ก (Steak Cuts): เช่น Ribeye, Sirloin, Tenderloin จะถูกตัดเป็นสเต็ก
เนื้ออบ (Roasts): เช่น Round Roast, Brisket จะถูกทำเป็น เนื้ออบ หรือ เนื้อย่าง
การตัดแต่งอย่างถูกต้องต้องพิจารณาจาก:
- การแยกชิ้นส่วนหลัก (Primal Cuts) ก่อน เพื่อให้สะดวกต่อการทำงานและเพิ่มมูลค่า
- การหั่นเนื้อให้เหมาะสม กับการใช้ เช่น การตัดเนื้อที่มีความนุ่มจากส่วน Loin หรือ Tenderloin มาเป็นสเต็ก หรือการใช้เนื้อจากส่วนที่เหนียวทำเป็นเนื้อบด
- การรักษาความสะอาดและปลอดภัย ในระหว่างกระบวนการตัดแต่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน
- การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น มีดคม และเลื่อยเพื่อตัดกระดูก
4. การแปรรูปเนื้อโคเป็นแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger) เป็นกระบวนการที่นิยมในอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะในการทำเนื้อบดเพื่อใช้ทำเบอร์เกอร์แสนอร่อย เนื้อโคที่ผ่านกระบวนการบดและปรุงรสสามารถนำมาทำเป็นแฮมเบอร์เกอร์ได้หลากหลายวิธี การแปรรูปนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อโค แต่ยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบการบริโภคอาหารสะดวกและง่ายดาย
กระบวนการแปรรูปเนื้อโคเป็นแฮมเบอร์เกอร์
การเลือกส่วนของเนื้อโค การเลือกส่วนเนื้อโคที่มีความเหมาะสมในการทำแฮมเบอร์เกอร์เป็นสิ่งสำคัญ โดยส่วนที่นิยมใช้ในการทำเนื้อบดสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ ได้แก่:
- Chuck (ไหล่): เนื้อจากส่วนไหล่ ไขมันแทรกในเนื้อ ซึ่งทำให้เนื้อมีรสชาติที่อร่อยและเนื้อสัมผัสที่นุ่ม
- Round (สะโพก): เนื้อจากสะโพกมักจะมีไขมันน้อยกว่าบางส่วน แต่ยังคงมีรสชาติที่ดีเมื่อใช้ผสมกับส่วนที่มีไขมันมากกว่า
- Brisket (อก): เป็นส่วนที่มักใช้ในการทำเนื้อบดเพื่อเพิ่มรสชาติและความชุ่มชื้น
การบดเนื้อโค ขั้นตอนนี้ใช้เครื่องบดเนื้อเพื่อบดเนื้อโคเป็นเนื้อบดละเอียด การบดเนื้อทำให้มีพื้นผิวที่ละเอียดและสามารถผสมรสชาติได้ดี การเลือกเครื่องบดเนื้อที่มีคุณภาพสูงจะช่วยให้เนื้อบดมีความละเอียดสม่ำเสมอ
- การบดครั้งแรก: บดเนื้อให้ละเอียดพอสมควร
- การบดครั้งที่สอง: หากต้องการเนื้อบดที่เนียนและละเอียดยิ่งขึ้น ควรทำการบดอีกครั้ง
การปรุงรสเนื้อบด หลังจากได้เนื้อบดแล้ว จะทำการปรุงรสเพื่อให้เนื้อมีรสชาติที่อร่อยและเข้มข้น โดยวัตถุดิบที่ใช้ก็จะมี เกลือ และ พริกไทย กระเทียม หรือ หัวหอม สับละเอียด ซอสบาร์บีคิว หรือ ซอสปรุงรส เพื่อเพิ่มรสชาติ และเครื่องเทศต่างๆ เช่น พริกปาปริก้า หรือมอสซาเรลล่าชีส ขึ้นอยู่กับสูตรที่ต้องการ
การปั้นเนื้อให้เป็นก้อน (Patties) เนื้อที่บดและปรุงรสแล้วจะถูกปั้นให้เป็นรูปแป้นกลม (Patty) โดยสามารถใช้มือหรือเครื่องปั้นที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ได้ขนาดและรูปทรงที่เหมาะสม โดยทั่วไปแฮมเบอร์เกอร์จะมีขนาดประมาณ 3-4 นิ้ว (7-10 ซม.) และหนาประมาณ 1 นิ้ว (2.5 ซม.)
การปรุงและการประกอบแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อถึงเวลาใช้งาน, แฮมเบอร์เกอร์สามารถนำมาปรุงโดยการย่าง (Grilling) และทอด (Frying)
การตัดแต่งซากโคเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการแยกเนื้อสัตว์ออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้สะดวกต่อการบริโภคและการแปรรูป โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโค การตัดแยกซากออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ (Primal Cuts) และการตัดชิ้นส่วนย่อย (Sub-primal Cuts) อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การตัดแต่งซากโคให้ได้ชิ้นส่วนที่เหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐานสากลจะช่วยให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพและสามารถนำไปแปรรูปได้อย่างหลากหลาย โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาคและการใช้งานของเนื้อในแต่ละส่วนที่ได้จากการตัดแต่ง ซากโคมีโครงสร้างที่เป็นระบบ โดยส่วนต่างๆ ถูกใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาในส่วนทฤษฎีคือ 1.ลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโค ลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโคจะแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ตามโครงสร้างของร่างกายที่สามารถนำมาปรับใช้ในการตัดแต่งซากได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแบ่งซากโคให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการผลิตเนื้อที่มีคุณภาพสูง โดยลักษณะทางกายวิภาคของโคที่สำคัญ: โครงกระดูก: - โครงกระดูกของโคมีความแข็งแรง เพื่อรองรับน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก โดยมีกระดูกที่แข็งแรงและใหญ่ เช่น กระดูกสันหลังที่ยาวและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับร่างกาย - โคมีขาทั้งสี่ขา ซึ่งแต่ละขามีโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักตัวและช่วยในการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ: - โคมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเดินและการยืน เนื่องจากโคเป็นสัตว์ที่ใช้เวลาในการเดินหรือยืนเป็นระยะเวลานาน - กล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยให้โคสามารถเดินในพื้นที่หญ้าหรือทุ่งหญ้าได้อย่างต่อเนื่อง หัว: - หัวของโคมีขนาดใหญ่และมีอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ตา หู จมูก และปาก - โคมีปากที่มีฟันกรามและฟันกรามที่แข็งแรง เพื่อใช้ในการเคี้ยวหญ้าและวัสดุอาหารที่มีลักษณะหยาบ - โคมีตาที่มีลักษณะเหมาะสมในการมองเห็นในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะในที่ที่แสงน้อย ระบบทางเดินอาหาร: - โคเป็นสัตว์ที่มีระบบทางเดินอาหารแบบ กระเพาะหลายช่อง ซึ่งประกอบด้วยกระเพาะ 4 ช่อง คือ กระเพาะรูเมน (rumen), กระเพาะรังผึ้ง (reticulum), กระเพาะสามสิบกลีบ (omasum) และ กระเพาะแท้ (abomasum) - ระบบทางเดินอาหารนี้ช่วยให้โคสามารถย่อยอาหารประเภทหญ้าและวัสดุที่ย่อยยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบทางเดินหายใจ: - โคมีจมูกที่พัฒนาเพื่อช่วยในการหายใจและกรองอากาศ โดยมีช่องทางเดินหายใจที่ยาวและมีลักษณะโค้ง เพื่อกรองอากาศให้สะอาด - ปอดของโคมีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ ระบบหมุนเวียนโลหิต: - โคมีหัวใจที่ขนาดใหญ่ และมีการไหลเวียนของเลือดที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการใช้พลังงานจากการเคลื่อนไหวหรือการทำงานหนัก - ระบบเลือดของโคช่วยในการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผิวหนัง: - โคมีผิวหนังที่ค่อนข้างหนา ซึ่งมีขนปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันสภาพอากาศที่รุนแรงและการบาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อม - บางสายพันธุ์ของโคอาจมีขนยาวหรือหนามากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศที่พวกมันอาศัยอยู่ ระบบสืบพันธุ์: - โคมีระบบสืบพันธุ์ที่มีลักษณะพิเศษ โดยเพศเมียจะมีประจำเดือนหรือรอบการเจริญพันธุ์ที่ชัดเจน - การสืบพันธุ์ของโคสามารถทำได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีช่วงเวลาที่มีความถี่ในการผสมพันธุ์สูงในบางฤดูกาล ผลลัพธ์ที่คาดจากการตัดแต่งซากโคและแปรรูปผลิตภัณฑ์ 1. การใช้เครื่องมือในการตัดแต่งซากโคอย่างถูกต้องและปลอดภัยจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถตัดแต่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เนื้อเกิดความเสียหาย 2. ผู้เรียนจะเข้าใจถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อสัตว์ เช่น การเลือกส่วนที่มีมูลค่าสูงสำหรับการจำหน่าย และการประเมินราคาเนื้อแต่ละส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ 3. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะการตัดแต่งซากโคให้มีประสิทธิภาพ โดยสามารถตัดแต่งเนื้อออกมาในลักษณะที่เหมาะสม ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ เช่น การแยกส่วนเนื้อที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสันนอก หรือเนื้อส่วนที่ต้องการความละเอียดในการตัดออกมา 4. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ลักษณะต่างๆ ของซากโค และสามารถแยกแยะส่วนต่างๆ ของเนื้อได้ เช่น ส่วนที่ใช้สำหรับผลิตเนื้อสเต็ก, เนื้อบด, หรือเนื้อที่เหมาะสมกับการทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ 5. ผู้เรียนจะได้รับทักษะในการแปรรูปเนื้อให้เป็นเนื้อสไลด์ที่มีคุณภาพ โดยเรียนรู้วิธีการใช้เครื่องสไลด์เนื้อให้ได้ความหนาและขนาดที่ต้องการ เหมาะสมสำหรับการทำแซนด์วิชหรือการใช้งานในร้านอาหารต่างๆ 6. เรียนจะได้เรียนรู้กลยุทธ์การตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อ เช่น การโปรโมทผลิตภัณฑ์เนื้อสไลด์และแฮมเบอร์เกอร์ โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย การจัดโปรโมชัน หรือการสร้างแบรนด์เพื่อดึงดูดลูกค้า
Workshop การคำนวณ ต้นทุน และ จุดคุ้มทุน (Break-even Point) ของผลิตภัณฑ์เป็นกระบวนการที่สำคัญในการบริหารธุรกิจ การคำนวณต้นทุนและจุดคุ้มทุนช่วยให้ธุรกิจจะเริ่มมีกำไรจากการขายผลิตภัณฑ์ โดยจะต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนคงที่, ต้นทุนผันแปร, และราคาขายของผลิตภัณฑ์ เพื่อทำการคำนวณจุดคุ้มทุนที่ชัดเจนและสามารถตั้งเป้าหมายกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวางแผนและคำนวณจุดคุ้มทุนอย่างรอบคอบจะช่วยให้ตัดสินใจเรื่องการตั้งราคา การเพิ่มหรือลดปริมาณการผลิต และการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Workshop การสร้างเพจในการจำหน่ายสินค้า (Sales Page) เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์ โดยเพจนี้จะเป็นเครื่องมือในการแสดงรายละเอียดของสินค้าหรือบริการ รวมถึงการดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อสินค้าโดยวิธีการทำเพจในการจำหน่ายสินค้าสามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการสร้างเว็บไซต์ (Landing Page), การใช้โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Instagram และการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ขั้นตอนการทำเพจในการจำหน่ายสินค้า
1. การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าของคุณว่ามักจะใช้แพลตฟอร์มไหนในการซื้อสินค้าหรือค้นหาข้อมูล:
- เว็บไซต์หรือ Landing Page: หากคุณมีเว็บไซต์ของตัวเอง หรือสร้างหน้า Landing Page ที่มีการออกแบบเฉพาะสำหรับการขายสินค้า
- Facebook: ทำเพจธุรกิจบน Facebook และใช้เครื่องมือเช่น Facebook Shop สำหรับการขายสินค้าบน Facebook
- Instagram: ใช้ Instagram Shop หรือโพสต์ภาพสินค้าพร้อมลิงก์ไปยังการซื้อ
- แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: เช่น Lazada, Shopee, หรือ Shopify ซึ่งสามารถช่วยให้สร้างร้านค้าออนไลน์ได้ง่ายขึ้น
- เว็บไซต์ WordPress + WooCommerce: ใช้ WordPress ร่วมกับปลั๊กอิน WooCommerce เพื่อสร้างร้านออนไลน์
2. การตั้งชื่อและออกแบบเพจ ควรเลือกชื่อที่สะท้อนถึงธุรกิจหรือสินค้าได้ชัดเจน
- โลโก้และธีม: ออกแบบโลโก้ที่เหมาะสมและการใช้ธีมที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของธุรกิจ เช่น การใช้สีที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
- คำอธิบายสั้นๆ: ให้คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ขาย หรือข้อความที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาที่เพจ โดยใส่รายละเอียดสินค้าที่ครบถ้วน เช่น ชื่อสินค้า รายละเอียดสินค้า ราคา
การสร้างช่องทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ เป็นส่วนสำคัญในการขยายตลาดและเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายทั้งในโลกดิจิทัลและในโลกจริง โดยการผสมผสานกลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในหลายช่องทาง และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในหลากหลายรูปแบบ
1. การสร้างช่องทางการตลาดออนไลน์
การตลาดออนไลน์เป็นการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มบนอินเทอร์เน็ตเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งสามารถสร้างความสะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายได้
2. การสร้างช่องทางการตลาดออฟไลน์
การตลาดออฟไลน์ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าในตลาดที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเน้นการโปรโมทสินค้าผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง
- การจัดกิจกรรมทางการตลาด (Event Marketing)
การจัดกิจกรรม เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่, งานแสดงสินค้าหรือการจัดโปรโมชั่นในสถานที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่านกิจกรรมที่สนุกสนาน เช่น การให้ลองสินค้าหรือรับของสมนาคุณ
- การโฆษณาผ่านสื่อดั้งเดิม (Traditional Media)
โฆษณาทางโทรทัศน์และวิทยุ: ใช้สื่อทีวีหรือวิทยุในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง
- ป้ายโฆษณาและบิลบอร์ด: การใช้ป้ายโฆษณาภายนอก เช่น ป้ายบิลบอร์ดในทำเลที่มีผู้คนผ่านไปมา เช่น หน้าอาคารห้างสรรพสินค้า หรือบนถนน
โฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสาร: สื่อสิ่งพิมพ์ยังคงเป็นช่องทางที่ดีในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ชอบอ่าน
- การตลาดผ่านผู้ค้าปลีก (Retail Marketing)
การนำผลิตภัณฑ์ไปวางขายในร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นและเลือกซื้อ
การจัดโปรโมชั่นพิเศษในร้านค้าหรือการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น “ซื้อ 1 แถม 1” หรือ “ลดราคา”
- การใช้พนักงานขาย (Sales Representatives)
การใช้พนักงานขายที่มีประสบการณ์และทักษะในการเสนอขายสินค้าและบริการให้กับลูกค้าตามความต้องการ การส่งเสริมการขายโดยการติดต่อกับลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ หรือการทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายสินค้ารายอื่น
- การโปรโมทผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีความสัมพันธ์ (Product Placement)
การวางสินค้าหรือบริการในสถานที่ที่มีลูกค้าเข้าถึง เช่น การวางผลิตภัณฑ์ในร้านค้าหรือในกิจกรรมที่มีลูกค้าเข้าร่วม
3. การผสมผสานช่องทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์
การใช้กลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์ร่วมกันจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั้งในโลกดิจิทัลและในโลกจริง และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
การสร้างการตระหนักรู้: การทำการตลาดออนไลน์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในกลุ่มลูกค้าก่อน จากนั้นทำการตลาดออฟไลน์ เช่น การจัดกิจกรรมหรือการใช้ป้ายโฆษณาเพื่อส่งเสริมการขาย
การสร้างความภักดีของลูกค้า: การใช้การตลาดออนไลน์ เช่น การส่งอีเมล์หรือโปรโมชันผ่านโซเชียลมีเดีย ร่วมกับการจัดกิจกรรมในร้านหรือการให้ส่วนลดพิเศษเมื่อซื้อสินค้าผ่านช่องทางออฟไลน์
การเพิ่มช่องทางการจำหน่าย: ใช้การตลาดออนไลน์เพื่อสร้างความสนใจในผลิตภัณฑ์ และนำลูกค้าไปยังช่องทางการจำหน่ายออฟไลน์ เช่น ร้านค้า หรือการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีการชำระเงินที่สะดวก
ในส่วนการสร้างตารางสินค้าเป็นกระบวนการในการออกแบบและสร้างโครงสร้างข้อมูลที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าในฐานข้อมูล โดยตารางสินค้าจะถูกออกแบบให้สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าทุกประเภทที่ธุรกิจต้องการจัดเก็บ เช่น ชื่อสินค้า, รหัสสินค้า, ราคา, จำนวนในสต็อก, หมวดหมู่สินค้า, และข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อการจัดการสินค้าภายในระบบท โดยตารางสินค้ามักจะเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลที่ใช้ในการ จัดการสินค้า ในระบบ เช่น ระบบการขาย (Point of Sale System), ระบบสต็อกสินค้า, หรือ ระบบการจัดการคลังสินค้า โดยจะทำการบันทึกและจัดการข้อมูลสินค้าในรูปแบบที่สามารถค้นหา, เพิ่ม, แก้ไข, และลบข้อมูลได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัด Workshop การคำนวณต้นทุนและจุดคุ้มทุน การสร้างเพจในการจำหน่ายสินค้า
1. ผู้เรียนสามารถการเข้าใจต้นทุนและจุดคุ้มทุน
2. ผู้เรียนสามารถตั้งราคาสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผู้เรียนสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างชัดเจน
4. ผู้เรียนสามารถสร้างเพจในการจำหน่ายสินค้าได้ด้วยตนเอง
5. มีทักษะในการทำการตลาดออนไลน์
6. สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย
การจัด Workshop การออกแบบแบรนด์ผลิตภัณฑ์ เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ทีมสามารถสร้างแบรนด์ที่มีความชัดเจน, สอดคล้องกับตลาด และสามารถสร้างความเชื่อมั่นในลูกค้าได้ โดยการใช้เครื่องมือและกระบวนการต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยใช้เครื่องมือ การใช้ Brand Purpose หรือ Vision and Mission Statement ขั้นตอนและกิจกรรมที่สามารถใช้ในการจัด Workshop การออกแบบแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการจัด Workshop การออกแบบแบรนด์ผลิตภัณฑ์ 1. การเตรียมความเข้าใจในแบรนด์ กิจกรรม: อธิบายถึงวิสัยทัศน์, พันธกิจ, และจุดประสงค์ของแบรนด์ วัตถุประสงค์: ช่วยให้ทุกคนในทีมมีความเข้าใจในภาพรวมของแบรนด์ที่ต้องการสร้าง รวมถึงการกำหนดเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย 2. การวิเคราะห์ตลาดและกลุ่มเป้าหมาย กิจกรรม: ศึกษาและระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย, ความต้องการของลูกค้า และแนวโน้มตลาด วัตถุประสงค์: ช่วยให้ทีมเข้าใจลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้งและสามารถออกแบบแบรนด์ให้ตรงกับความต้องการของพวกเขา 3. การกำหนดค่านิยมและบุคลิกภาพของแบรนด์ กำหนดค่านิยมและบุคลิกภาพที่แบรนด์จะสะท้อนออกมา เช่น ความเป็นมิตร, ความน่าเชื่อถือ, ความหรูหรา, หรือความทันสมัย วัตถุประสงค์: ช่วยให้แบรนด์มีบุคลิกที่ชัดเจนและสามารถสร้างการเชื่อมโยงกับลูกค้า 4. การออกแบบตัวตนของแบรนด์ (Brand Identity) กิจกรรม: วางแผนการออกแบบโลโก้, สี, ฟอนต์, รูปแบบการสื่อสาร และการแสดงออกของแบรนด์ วัตถุประสงค์: ช่วยให้แบรนด์มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ซึ่งสามารถสร้างการจดจำและสะท้อนภาพลักษณ์ที่ต้องการ 5. การสร้างกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสาร กิจกรรม: วางแผนกลยุทธ์การสื่อสารและการตลาดที่สะท้อนถึงแบรนด์ เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย, โฆษณาหรือการตลาดเนื้อหา วัตถุประสงค์: ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารและสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ 6. การสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) กิจกรรม: วางแผนและออกแบบประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ วัตถุประสงค์: ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและมีความพึงพอใจในการใช้แบรนด์ 7. การประเมินและทดสอบแบรนด์ กิจกรรม: ทดสอบแนวคิดแบรนด์, การออกแบบ, และข้อความต่างๆ กับกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มตัวอย่าง วัตถุประสงค์: ช่วยให้สามารถทดสอบและปรับแก้ไขได้ก่อนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์อย่างเต็มที่
BMC (Business Model Canvas) หรือ แผนผังโมเดลธุรกิจ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบและวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ โดยช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมของธุรกิจในรูปแบบที่กระชับและเข้าใจง่าย โมเดลธุรกิจนี้ถูกพัฒนาโดย Alexander Osterwalder และมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในหลายองค์กรเพื่อช่วยในการวางแผนธุรกิจหรือปรับปรุงกลยุทธ์ทางธุรกิจ การใช้ Brand Management Canvas (BMC) ช่วยให้สามารถระบุและวางแผนทุกองค์ประกอบของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน โดยเริ่มจากการระบุจุดประสงค์และวิสัยทัศน์ของแบรนด์ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า การออกแบบแบรนด์ไม่เพียงแต่เน้นที่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้งานแบรนด์ อีกทั้งในการตั้งชื่อแบรนด์จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของแบรนด์ในแง่มุมต่างๆ และทำให้การตั้งชื่อแบรนด์เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับกลยุทธ์และเป้าหมายของแบรนด์ ซึ่งชื่อแบรนด์ไม่เพียงแต่ควรสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังต้องสามารถสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดลูกค้าให้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์อย่างยั่งยืน. ส่วนประกอบของ Brand Management Canvas (BMC) การออกแบบแบรนด์สามารถเริ่มต้นได้จากการสร้าง BMC ซึ่งประกอบด้วย 9 องค์ประกอบหลักที่ช่วยในการวิเคราะห์และวางแผนแบรนด์: 1. Brand Purpose (จุดประสงค์ของแบรนด์) อธิบายเหตุผลที่แบรนด์นี้มีอยู่หรือมีความหมายต่อผู้บริโภค จุดประสงค์คือแรงจูงใจที่แบรนด์มีความตั้งใจทำธุรกิจ ตัวอย่างเช่น "เพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนสะดวกสบายยิ่งขึ้น" 2. Brand Vision (วิสัยทัศน์ของแบรนด์) วิสัยทัศน์คือภาพในอนาคตที่แบรนด์ต้องการเห็น เช่น การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม หรือการเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้า 3. Brand Mission (พันธกิจของแบรนด์) พันธกิจของแบรนด์คือลักษณะการทำงานหรือการดำเนินการในปัจจุบันเพื่อไปสู่วิสัยทัศน์ในอนาคต เช่น การให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า หรือการทำงานกับพันธมิตรในการขยายแบรนด์ 4. Brand Values (ค่านิยมของแบรนด์) ค่านิยมคือหลักการที่แบรนด์ยึดถือในการทำงาน เช่น ความโปร่งใส, ความน่าเชื่อถือ, ความสร้างสรรค์ หรือความรับผิดชอบต่อสังคม 5. Target Audience (กลุ่มเป้าหมาย) กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์คือกลุ่มลูกค้าที่แบรนด์ต้องการเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์ เช่น กลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่มีอายุ 25-40 ปี หรือกลุ่มลูกค้าที่ยึดติดกับสุขภาพ 6. Brand Personality (บุคลิกภาพของแบรนด์) บุคลิกภาพของแบรนด์จะทำให้แบรนด์ของคุณมีความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น แบรนด์ที่ดูสนุกสนาน, เป็นมิตร, จริงจัง, หรือหรูหรา 7. Brand Positioning (ตำแหน่งของแบรนด์) การกำหนดตำแหน่งของแบรนด์ในตลาดหมายถึงการตัดสินใจว่าแบรนด์จะอยู่ในตลาดไหน และแบรนด์จะมีลักษณะเฉพาะอย่างไรที่แตกต่างจากคู่แข่ง 8. Brand Experience (ประสบการณ์ของแบรนด์) การออกแบบประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากแบรนด์ในทุกจุดสัมผัส เช่น เว็บไซต์, การบริการลูกค้า, หรือประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์ 9. Brand Identity (อัตลักษณ์ของแบรนด์) อัตลักษณ์แบรนด์คือสัญลักษณ์, สี, รูปแบบ, ฟอนต์ และสิ่งที่สร้างความจดจำในตัวแบรนด์ เช่น โลโก้, สีที่ใช้ในงานออกแบบ หรือสไตล์การสื่อสาร ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัด Workshop การออกแบบแบรนด์ผลิตภัณฑ์ 1. ผู้เรียนเข้าใจทิศทางและกลยุทธ์ของแบรนด์ อย่างชัดเจน 2. ผู้เรียนสามารถสร้างบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย 3. ผู้เรียนสามารถออกแบบประสบการณ์ลูกค้าที่ดี และให้ความสำคัญกับทุกจุดสัมผัสของแบรนด์ 4. ผู้เรียนพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ 5. เพิ่มการรับรู้และการจดจำของแบรนด์ ในตลาด 6. ทดสอบแบรนด์ในตลาดจริง เพื่อให้มั่นใจว่าแบรนด์สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
กิจกรรมการเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการทำการตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง โดยสามารถพัฒนาทักษะทั้งในด้านการวิเคราะห์ตลาด การสร้างกลยุทธ์การตลาด การขาย การเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย และการวัดผล เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานในอุตสาหกรรมจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ. 1. การจัดกิจกรรมพิเศษ การจัดอีเว้นท์หรือกิจกรรมส่งเสริมการขาย: เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในห้าง การจัดเวิร์กช็อปหรือกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับลูกค้า เพื่อสร้างความสนใจและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ การแจกของสมนาคุณ: การแจกของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หรือตัวอย่างสินค้าฟรี เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ตามที่กำหนด ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า 2. การใช้เทคโนโลยีและระบบดิจิทัล การใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย: การโปรโมทโปรโมชั่นผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, หรือ Line เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาเยี่ยมชมในห้าง การใช้ QR Code: สำหรับการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า หรือข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย 3. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในห้างสรรพสินค้าเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมการกลับมาซื้อซ้ำ: 4. การดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด การให้บริการลูกค้าหลังการขาย: การให้บริการหลังการขาย เช่น การตอบคำถามหรือปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการซื้อสินค้าช่วยสร้างความพึงพอใจและความภักดีในแบรนด์ การสร้างโปรแกรมสมาชิก: การให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิก เช่น ส่วนลด, คะแนนสะสม, หรือข้อเสนอพิเศษ 5. การติดตามความพึงพอใจของลูกค้า การสำรวจความพึงพอใจ: การใช้แบบสอบถามหรือวิธีการต่างๆ เพื่อติดตามความพึงพอใจของลูกค้าและรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือการบริการ
การทำการตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในห้างสรรพสินค้า เป็นกระบวนการสำคัญในการขยายตลาดและเพิ่มยอดขาย โดยต้องมีการวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ การจัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมทั้งในด้านการจัดวางผลิตภัณฑ์, การส่งเสริมการขาย, และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาในส่วนทฤษฎีคือ
1. การทำการตลาดในห้างสรรพสินค้า
การทำการตลาดในห้างสรรพสินค้าควรมีกลยุทธ์ที่ครอบคลุมหลายๆ ด้าน เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความน่าสนใจในผลิตภัณฑ์ของคุณ:
- การทำโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ
ส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษ: การให้ส่วนลดในช่วงเทศกาลหรือโปรโมชั่นพิเศษ เช่น "ซื้อ 1 แถม 1" หรือ "ลดราคา 30%" สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น
การจัดโปรโมชั่นตามฤดูกาล: ใช้ฤดูกาลต่างๆ เป็นโอกาสในการจัดโปรโมชั่น เช่น โปรโมชั่นปีใหม่, คริสต์มาส, สงกรานต์ หรือโปรโมชั่นในวันหยุดยาว
- การใช้สื่อโฆษณาภายในห้าง
ป้ายโฆษณาและการจัดแสดง: การใช้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่, ป้ายไฟ LED, และพื้นที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์ในห้างเพื่อดึงดูดความสนใจ
การสาธิตผลิตภัณฑ์: สาธิตวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ที่ได้รับความสนใจ เช่น โซนโปรโมชั่นของห้าง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเห็นและทดลองใช้สินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
- การสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดี
การบริการลูกค้า: การฝึกอบรมพนักงานขายให้มีทักษะในการให้บริการที่ดี และสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การออกแบบจุดขาย: การจัดวางผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ที่มีการเดินผ่านของลูกค้า เช่น การตั้งสินค้าบนชั้นวางที่มองเห็นได้ง่าย และการใช้วัสดุที่ดึงดูดสายตา
2. การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในห้างสรรพสินค้า
การจัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าต้องคำนึงถึงการเลือกกลยุทธ์การจัดการและช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ:
- การเลือกพื้นที่จัดวางผลิตภัณฑ์
การเลือกตำแหน่งที่ดี: การเลือกพื้นที่ที่มีการเดินผ่านของลูกค้าจำนวนมาก เช่น ใกล้กับทางเข้า, บริเวณทางเดินหลัก หรือใกล้กับโซนที่มีสินค้าที่เกี่ยวข้อง
การจัดวางสินค้าให้โดดเด่น: วางผลิตภัณฑ์ให้เด่นชัดด้วยการจัดรูปแบบที่สะดุดตา ใช้ป้ายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับกลยุทธ์การตลาด
- การเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย
ร้านค้าภายในห้าง: สำหรับการขายผลิตภัณฑ์ภายในร้านค้าหรือมุมขายภายในห้าง โดยต้องให้ความสำคัญกับการจัดพื้นที่ภายในร้าน และความสะดวกสบายในการเข้าถึงสินค้าของลูกค้า
การจัดส่งตรงจากห้าง: ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และเลือกจัดส่งสินค้าจากห้างสรรพสินค้าได้
- การวางแผนการควบคุมสินค้าคงคลัง
การตรวจสอบสินค้าคงคลัง: ต้องมีการติดตามสถานะสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติมเต็มสินค้าหรือสั่งซื้อเพิ่มเติมได้ในกรณีที่สินค้าหมด
การจัดสต็อกให้เหมาะสม: การวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับการสั่งซื้อและการจัดเก็บสินค้า เพื่อไม่ให้มีสินค้าคงค้างมากเกินไปหรือขาดตลาด
ผลลัพธ์ที่คาดหวังการทำการตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์
1. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การวางแผนกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย, การตั้งราคา, การเลือกช่องทางการตลาด และการสร้างแบรน
3. ผู้เรียนจะสามารถเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น การขายผ่านร้านค้าออนไลน์, การจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนขาย, หรือการขายผ่านหน้าร้าน
4. ผู้เรียนจะเข้าใจถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถช่วยขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เช่น การร่วมมือกับร้านค้า ตัวแทนจำหน่าย หรือแม้แต่การร่วมมือกับบริษัทต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า
5. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาดเป้าหมาย โดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิต, ความคุ้มค่าในตลาด, และกลยุทธ์ราคาของคู่แข่ง
การจัด Workshop การยื่นขอรับรองมาตรฐาน GHPs (Good Hygienic Practices) และ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points) เป็นการอบรมที่ช่วยให้ผู้ประกอบการหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานเหล่านี้ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดและแนวทางในการจัดการความเสี่ยงด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหารได้อย่างถูกต้อง
หลักการขอรับรองมาตรฐาน GHPs (Good Hygiene Practices) และ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points) GHPs (Good Hygiene Practices) และ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points) เป็นระบบการจัดการความปลอดภัยในอาหารที่มีความสำคัญในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหาร โดยทั้งสองมาตรฐานมีหลักการที่เน้นการควบคุมสุขอนามัยและความปลอดภัยตลอดกระบวนการผลิตอาหารจากการรับวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภค ซึ่งการขอรับรองมาตรฐานเหล่านี้จำเป็นต้องมีการดำเนินการในหลายขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้: การขอรับรองมาตรฐาน GHPs (Good Hygiene Practices) GHPs คือ หลักการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติในด้านสุขอนามัยในการผลิตอาหาร เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความปลอดภัยจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคและสิ่งสกปรกต่างๆ หลักการขอรับรอง GHPs 1. การศึกษาข้อกำหนด GHPs ศึกษาหลักการและข้อกำหนดของ GHPs ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหาร เช่น การจัดการพื้นที่ผลิต, การดูแลความสะอาดของอุปกรณ์, การเก็บรักษาอาหาร, การใช้สารเคมีที่ปลอดภัยในการผลิต 2.จัดเตรียมสถานที่ผลิตและอุปกรณ์ ต้องมีสถานที่ผลิตที่สะอาดและเหมาะสมสำหรับการผลิตอาหาร เช่น การออกแบบพื้นที่แยกโซนการทำงาน (พื้นที่เตรียมอาหาร, พื้นที่เก็บวัตถุดิบ, ห้องแช่แข็ง) รวมถึงอุปกรณ์ที่ต้องได้รับการทำความสะอาดและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ 3.การฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พนักงาน พนักงานทุกคนต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับสุขอนามัย เช่น วิธีการล้างมือที่ถูกต้อง, การใช้เครื่องมืออุปกรณ์, การดูแลรักษาความสะอาดในสถานที่ผลิตอาหาร 4.การจัดการสุขอนามัยของบุคลากร การดูแลสุขอนามัยของบุคลากร เช่น การใส่ชุดยูนิฟอร์มที่สะอาด, การใช้เครื่องมือป้องกัน (ถุงมือ, หน้ากาก, หมวก) รวมถึงการตรวจสุขภาพประจำปี 5.การจัดทำและปฏิบัติตามแผนการตรวจสอบ ต้องมีการตรวจสอบและบันทึกการทำความสะอาดสถานที่และอุปกรณ์ตามกำหนดเวลา รวมถึงการตรวจสอบสุขอนามัยของพนักงานและกระบวนการผลิต การขอรับรองมาตรฐาน HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points) HACCP เป็นมาตรฐานที่เน้นการวิเคราะห์และควบคุมอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอาหาร โดยมีการกำหนดจุดที่มีความเสี่ยง (Critical Control Points: CCPs) ที่สามารถควบคุมและป้องกันการปนเปื้อนในอาหารได้ หลักการขอรับรอง HACCP ศึกษาหลักการและข้อกำหนดของ HACCP ซึ่งประกอบด้วย 7 ขั้นตอนหลัก: 1. การวิเคราะห์อันตราย (Hazard Analysis) การระบุและประเมินอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอาหาร เช่น การปนเปื้อนจากเชื้อโรค, สารเคมี, วัตถุดิบที่ไม่ปลอดภัย และอันตรายทางกายภาพ 2. การกำหนดจุดควบคุมที่สำคัญ (Critical Control Points - CCPs) การระบุจุดในกระบวนการผลิตที่อาจเกิดอันตรายและสามารถควบคุมได้ เช่น การตั้งอุณหภูมิในการฆ่าเชื้อ, การจัดการความสะอาดของพื้นที่, การบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย 3. การกำหนดขีดจำกัดที่ยอมรับได้ (Critical Limits) การตั้งขีดจำกัดที่สามารถควบคุมได้ เช่น อุณหภูมิที่จำเป็นต้องรักษาในกระบวนการฆ่าเชื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารปลอดภัย 4. การจัดทำระบบตรวจสอบ (Monitoring) การติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานในแต่ละ CCP อย่างสม่ำเสมอ โดยมีการบันทึกข้อมูลและการตรวจสอบที่เกิดขึ้น 5. การดำเนินการแก้ไข (Corrective Actions) การดำเนินการแก้ไขเมื่อพบว่ามีการละเมิดขีดจำกัดที่กำหนด เช่น การหยุดกระบวนการผลิตหรือการทิ้งผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงตามข้อกำหนด 6. การตรวจสอบระบบ (Verification) การตรวจสอบและทบทวนกระบวนการ HACCP เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามมาตรฐาน และสามารถควบคุมอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7. การเก็บบันทึกข้อมูล (Recordkeeping) การจัดทำและเก็บบันทึกข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ HACCP เช่น บันทึกการตรวจสอบ, การควบคุม CCPs, การดำเนินการแก้ไข ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัด Workshop 1. ผู้เรียนจะมีความเข้าใจในกระบวนการและมาตรฐาน GHPs และ HACCP 2. ผู้เรียนสามารถยื่นขอรับรองมาตรฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปรับปรุงระบบการผลิตให้ตรงตามข้อกำหนด 4. เสริมสร้างความสามารถในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหาร
การปฏิบัติการตัดแยกซากโคออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ (Primal Cuts)
1. การตัดซากโคจะเริ่มต้นจากการแยกซากออกเป็นส่วนใหญ่ หรือที่เรียกว่า Primal Cuts ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างทางกายวิภาคของโค เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนเนื้อที่มีคุณภาพและเหมาะสมต่อการแปรรูปต่างๆ โดยส่วนหลักของซากโคมีดังนี้:
• Chuck (ไหล่) ส่วนไหล่ของโคมักใช้ทำเนื้อบด เนื่องจากเป็นเนื้อที่เหนียวสามารถทำเป็นสเต็กได้
• Rib (ซี่โครง) ส่วนซี่โครงจะประกอบด้วยกระดูกซี่โครงและเนื้อที่มีมาร์เบิลลิ่งดี ใช้ทำสเต็กซี่โครง และเนื้อย่าง
• Loin (เอว) ส่วนเอวเป็นส่วนที่มีคุณภาพสูงใช้ทำ สเต็ก และเนื้อฟิเลต์
• Round (สะโพก) ส่วนสะโพกมีเนื้อหนาและมักใช้ทำสเต็ก ชิ้นส่วนนี้สามารถทำเป็น เนื้อบด หรือ เนื้อย่าง ได้
• Brisket (อก) ส่วนอกของโคมักใช้ทำ เนื้อย่าง หรือ เนื้อหมักย่าง โดยมีลักษณะเหนียวและต้องการเวลาในการทำอาหารที่ยาวนาน
• Shank (ขา) ส่วนขาของโคใช้ทำ เนื้อสตูว์ หรือ เนื้อห่อหุ้ม ซึ่งต้องต้มเป็นเวลานานเพื่อให้เนื้ออ่อนนุ่ม
• Flank (ท้อง) ส่วนท้องใช้ทำ Flank steak ซึ่งมักใช้ในสเต็กหรือการย่าง
2. การตัดชิ้นส่วนย่อย (Retail Cuts)
หลังจากที่แยกซากโคออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่แล้ว จะมีการตัดชิ้นส่วนย่อย (Retail Cuts) เพื่อนำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อที่เหมาะสม โดยแต่ละชิ้นส่วนย่อยจะมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
โดยจะมีการตัดชิ้นส่วนย่อยเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานและการจำหน่าย โดยการตัดจะทำให้ได้ชิ้นเนื้อที่มีขนาดและลักษณะที่เหมาะสมสำหรับการปรุงอาหารที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของการตัดชิ้นส่วนย่อย ได้แก่:
Ribeye Steak (สเต็กจากซี่โครง)
T-bone Steak (สเต็กที่มีกระดูกรูปตัว T)
Sirloin Steak (สเต็กจากส่วนสะโพก)
Chuck Roast (เนื้อที่ตัดจากส่วนคอสำหรับการตุ๋นหรืออบ)
การตัดแต่งซากโคเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการแยกเนื้อสัตว์ออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้สะดวกต่อการบริโภคและการแปรรูป โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโค การตัดแยกซากออกเป็นชิ้นส่วนใหญ่ (Primal Cuts) และการตัดชิ้นส่วนย่อย (Sub-primal Cuts) อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การตัดแต่งซากโคให้ได้ชิ้นส่วนที่เหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐานสากลจะช่วยให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพและสามารถนำไปแปรรูปได้อย่างหลากหลาย โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายวิภาคและการใช้งานของเนื้อในแต่ละส่วนที่ได้จากการตัดแต่ง ซากโคมีโครงสร้างที่เป็นระบบ โดยส่วนต่างๆ ถูกใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาในส่วนทฤษฎีคือ 1. ลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโค ลักษณะทางกายวิภาควิทยาของโคจะแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ตามโครงสร้างของร่างกายที่สามารถนำมาปรับใช้ในการตัดแต่งซากได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแบ่งซากโคให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการผลิตเนื้อที่มีคุณภาพสูง โดยลักษณะทางกายวิภาคของโคที่สำคัญ: โครงกระดูก: - โครงกระดูกของโคมีความแข็งแรง เพื่อรองรับน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก โดยมีกระดูกที่แข็งแรงและใหญ่ เช่น กระดูกสันหลังที่ยาวและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับร่างกาย - โคมีขาทั้งสี่ขา ซึ่งแต่ละขามีโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักตัวและช่วยในการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ: - โคมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเดินและการยืน เนื่องจากโคเป็นสัตว์ที่ใช้เวลาในการเดินหรือยืนเป็นระยะเวลานาน - กล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยให้โคสามารถเดินในพื้นที่หญ้าหรือทุ่งหญ้าได้อย่างต่อเนื่อง หัว: - หัวของโคมีขนาดใหญ่และมีอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ตา หู จมูก และปาก - โคมีปากที่มีฟันกรามและฟันกรามที่แข็งแรง เพื่อใช้ในการเคี้ยวหญ้าและวัสดุอาหารที่มีลักษณะหยาบ - โคมีตาที่มีลักษณะเหมาะสมในการมองเห็นในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะในที่ที่แสงน้อย ระบบทางเดินอาหาร: - โคเป็นสัตว์ที่มีระบบทางเดินอาหารแบบ กระเพาะหลายช่อง ซึ่งประกอบด้วยกระเพาะ 4 ช่อง คือ กระเพาะรูเมน (rumen), กระเพาะรังผึ้ง (reticulum), กระเพาะสามสิบกลีบ (omasum) และ กระเพาะแท้ (abomasum) - ระบบทางเดินอาหารนี้ช่วยให้โคสามารถย่อยอาหารประเภทหญ้าและวัสดุที่ย่อยยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบทางเดินหายใจ: - โคมีจมูกที่พัฒนาเพื่อช่วยในการหายใจและกรองอากาศ โดยมีช่องทางเดินหายใจที่ยาวและมีลักษณะโค้ง เพื่อกรองอากาศให้สะอาด - ปอดของโคมีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ ระบบหมุนเวียนโลหิต: - โคมีหัวใจที่ขนาดใหญ่ และมีการไหลเวียนของเลือดที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการใช้พลังงานจากการเคลื่อนไหวหรือการทำงานหนัก - ระบบเลือดของโคช่วยในการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผิวหนัง: - โคมีผิวหนังที่ค่อนข้างหนา ซึ่งมีขนปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันสภาพอากาศที่รุนแรงและการบาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อม - บางสายพันธุ์ของโคอาจมีขนยาวหรือหนามากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศที่พวกมันอาศัยอยู่ ระบบสืบพันธุ์: - โคมีระบบสืบพันธุ์ที่มีลักษณะพิเศษ โดยเพศเมียจะมีประจำเดือนหรือรอบการเจริญพันธุ์ที่ชัดเจน - การสืบพันธุ์ของโคสามารถทำได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีช่วงเวลาที่มีความถี่ในการผสมพันธุ์สูงในบางฤดูกาล ผลลัพธ์ที่คาดจากการตัดแต่งซากโค 1. การใช้เครื่องมือในการตัดแต่งซากโคอย่างถูกต้องและปลอดภัยจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถตัดแต่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เนื้อเกิดความเสียหาย 2. ผู้เรียนจะเข้าใจถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อสัตว์ เช่น การเลือกส่วนที่มีมูลค่าสูงสำหรับการจำหน่าย และการประเมินราคาเนื้อแต่ละส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ 3. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะการตัดแต่งซากโคให้มีประสิทธิภาพ โดยสามารถตัดแต่งเนื้อออกมาในลักษณะที่เหมาะสม ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ เช่น การแยกส่วนเนื้อที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสันนอก หรือเนื้อส่วนที่ต้องการความละเอียดในการตัดออกมา 4. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ลักษณะต่างๆ ของซากโค และสามารถแยกแยะส่วนต่างๆ ของเนื้อได้ เช่น ส่วนที่ใช้สำหรับผลิตเนื้อสเต็ก, เนื้อบด, หรือเนื้อที่เหมาะสมกับการทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ
การเตรียมเอกสารประกอบการยื่นขอการรับรองมาตรฐานฮาลาล (Halal Certification) จะต้องมีเอกสารหลักๆ ที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการผลิตและการดำเนินการที่เป็นไปตามข้อกำหนดของฮาลาล ต้องกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มที่หน่วยงานรับรองฮาลาลกำหนด เช่น สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สมอ.) หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่รับผิดชอบ เพื่อยืนยันว่าเป็นกิจการที่จดทะเบียนตามกฎหมาย รวมถึงการแสดงแหล่งที่มาของวัตถุดิบทั้งหมด เช่น เนื้อสัตว์ที่ใช้, น้ำมัน, เครื่องปรุง และอื่นๆ ต้องแสดงว่าเป็นฮาลาลและมีการจัดหาจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง กระบวนการผลิต มาตรการในการควบคุมการปนเปื้อน การฝึกอบรมพนักงาน การตรวจสอบภายใน และแผนการติดตามและตรวจสอบ
- การเตรียมการขอรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย มาตรฐาน GAP, HALAL สำหรับการผลิตสัตว์เนื้อคุณภาพดี เช่น มาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) และ HALAL (ฮาลาล) นั้นจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้สามารถขอรับการรับรองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาในส่วนทฤษฎีคือ
- การเตรียมการสำหรับมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices)
มาตรฐาน GAP เป็นการควบคุมการผลิตสินค้าการเกษตรให้มีความปลอดภัยและคุณภาพสูง รวมถึงการดูแลสวัสดิภาพสัตว์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะการผลิตเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพดี
ขั้นตอนการเตรียมการ
1. ศึกษาข้อกำหนดของ GAP
ศึกษาเกณฑ์การรับรองมาตรฐาน GAP ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเนื้อสัตว์ โดยเน้นการควบคุมด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เช่น การตรวจสอบการใช้ยาปฏิชีวนะ, การดูแลสวัสดิภาพสัตว์, การควบคุมการใช้สารเคมีต่างๆ เป็นต้น
2. ปรับปรุงระบบการจัดการฟาร์ม
ต้องมีระบบการบริหารจัดการฟาร์มที่สามารถควบคุมและตรวจสอบการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเก็บข้อมูลการใช้ยาฆ่าเชื้อ, การฉีดวัคซีน, การจัดการสิ่งแวดล้อมในฟาร์มให้เหมาะสม
3. การติดตามและตรวจสอบสุขภาพของสัตว์
การเก็บบันทึกข้อมูลสุขภาพของสัตว์ทั้งหมดที่อยู่ในฟาร์ม ทั้งการตรวจสอบโรคและสภาพแวดล้อมการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์ได้รับการดูแลอย่างดี
4. การฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พนักงาน
พนักงานทุกคนในฟาร์มควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับมาตรฐาน GAP เช่น การดูแลสุขอนามัย, การจัดการอาหารสัตว์, การรักษาความสะอาดและการจัดการด้านความปลอดภัย
5. การเก็บบันทึกข้อมูลการผลิต
ต้องเก็บบันทึกข้อมูลการผลิตทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้หากเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัย
6. การตรวจสอบและปรับปรุง
จัดทำการตรวจสอบภายในและการประเมินผลการปฏิบัติตามมาตรฐาน GAP โดยมีการปรับปรุงในจุดที่พบปัญหาหรือขาดตกบกพร่อง
- การเตรียมการสำหรับมาตรฐาน HALAL
มาตรฐาน HALAL คือมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารที่เหมาะสมตามหลักการอิสลาม ซึ่งต้องคำนึงถึงความสะอาดและความปลอดภัยในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน รวมถึงการเลือกวัตถุดิบที่ถูกต้องตามหลักศาสนา
ขั้นตอนการเตรียมการ
1. การศึกษาหลักการ HALAL
ศึกษาข้อกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐาน HALAL ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเนื้อสัตว์ เช่น ห้ามใช้เนื้อจากสัตว์ที่ไม่ได้ถูกฆ่าโดยวิธีที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม (เช่น การฆ่าสัตว์โดยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง)
2. การรับรองจากองค์กร HALAL
ต้องติดต่อหน่วยงานหรือองค์กรที่รับรองมาตรฐาน HALAL เช่น สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หรือองค์กร HALAL ในประเทศที่คุณตั้งอยู่ เพื่อขอรับคำแนะนำและคำปรึกษาในการดำเนินการ
3. การตรวจสอบวัตถุดิบและกระบวนการผลิต
ตรวจสอบว่าวัตถุดิบทุกชนิดที่ใช้ในการผลิต (เช่น อาหารสัตว์, ยา, สารเคมี) ถูกต้องตามหลัก HALAL และไม่มีส่วนผสมที่ผิดหลัก เช่น เนื้อหมูหรือสารที่มาจากสัตว์ที่ไม่เป็นที่ยอมรับ
4. การฝึกอบรมพนักงาน
พนักงานทุกคนต้องได้รับการฝึกอบรมในหลักการ HALAL และวิธีการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ โดยเฉพาะในการดูแลกระบวนการฆ่าสัตว์และการเตรียมเนื้อ
5. การควบคุมกระบวนการฆ่าสัตว์
ควรมีระบบการฆ่าสัตว์ที่เป็นไปตามหลักการ HALAL โดยการมีบุคคลที่ได้รับการฝึกฝนในการฆ่าสัตว์อย่างถูกต้องตามศาสนาอิสลาม เช่น การกล่าวคำทักทายก่อนฆ่า
6. การจัดการตรวจสอบย้อนกลับ
ระบบการตรวจสอบย้อนกลับของเนื้อสัตว์ที่ผลิตต้องสามารถระบุแหล่งที่มาของสัตว์, วิธีการฆ่า, และกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องได้อย่างโปร่งใส
7. การตรวจสอบและรับรอง
เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมดแล้ว ควรติดต่อกับหน่วยงานรับรอง HALAL เพื่อให้มีการตรวจสอบและรับรองตามมาตรฐาน
ผลลัพธ์และความคาดหวังจากการขอรับรองมาตรฐาน GAP และ HALAL
1. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดและหลักการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารตามมาตรฐาน GAP และ HALAL เช่น การควบคุมการใช้สารเคมี, การดูแลสุขอนามัย, การควบคุมคุณภาพ และกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ
2. ผู้เรียนจะเข้าใจวิธีการจัดการระบบการผลิตอาหารที่ปลอดภัย รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระบบการบันทึกข้อมูล การตรวจสอบคุณภาพ หรือการจัดการกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของมาตรฐาน GAP และ HALAL
3. ผู้เรียนจะคาดหวังที่จะได้รับความรู้และทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์การทำงาน เช่น การควบคุมคุณภาพอาหาร การจัดการกระบวนการผลิตให้มีมาตรฐานสูง และการดูแลระบบการผลิตที่สอดคล้องกับมาตรฐาน GAP และ HALAL
4. ผู้เรียนจะคาดหวังว่าจะได้ฝึกปฏิบัติในฟาร์ม หรือโรงงานผลิตอาหารจริง เพื่อเรียนรู้กระบวนการผลิตและการจัดการตามมาตรฐานต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและประสบการณ์ตรง
5. ผู้เรียนสามารถสร้างความเข้าใจในด้านการจัดการความเสี่ยง โดยผู้เรียนจะคาดหวังที่จะได้เรียนรู้การจัดการความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอาหาร เช่น การป้องกันการปนเปื้อน หรือการตรวจสอบความสอดคล้องของผลิตภัณฑ์กับมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
1.การประเมินคุณภาพวัตถุดิบอาหารสัตว์
- ฝึกวิเคราะห์องค์ประกอบอาหารสัตว์ด้วยเครื่องมือ เช่น เครื่องวัดความชื้น หรือการทดสอบค่าโปรตีน
- การใช้ตารางโภชนาการเพื่อประเมินพลังงานและโปรตีนในวัตถุดิบ
2.การผสมอาหารสัตว์
- ฝึกผสมอาหารแบบ TMR โดยใช้วัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อให้ได้สูตรที่เหมาะสม
- การทดลองให้อาหารสัตว์ที่แตกต่างกันและสังเกตผลต่อการเติบโต
3.การจัดการอาหารในฟาร์มจริง
- การให้อาหารสัตว์ในช่วงเวลาที่เหมาะสมและสังเกตพฤติกรรมการกินอาหาร
- การจัดเก็บและจัดการอาหารสัตว์เพื่อลดการสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพ
4. การติดตามผลและปรับปรุงแผนโภชนาการ**
- การชั่งน้ำหนักและติดตามอัตราการเติบโตของสัตว์
- การวิเคราะห์ความคุ้มค่าในด้านต้นทุนอาหารสัตว์และผลผลิต
การจัดการอาหารสัตว์ในการผลิตสัตว์เนื้อคุณภาพดี เน้นการเรียนการสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะในการจัดการอาหารสัตว์ โดยมีวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับหลักโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับโคและแพะในการผลิตเนื้อคุณภาพดี เพื่อให้ผู้เรียนสามารถวางแผนการให้อาหารสัตว์ที่สอดคล้องกับความต้องการทางโภชนาการในแต่ละช่วงอายุและสถานะการผลิต และเพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติการในการจัดการและประเมินคุณภาพอาหารสัตว์ ในเนื้อหาในส่วนทฤษฎี เช่น พื้นฐานโภชนาการสัตว์ ด้านองค์ประกอบของอาหารสัตว์: คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ ความต้องการทางโภชนาการของโคและแพะในช่วงการเติบโตและการผลิตเนื้อ ระบบการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้องและการเปลี่ยนแปลงอาหารเป็นพลังงาน ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาในส่วนทฤษฎีคือ
1. การคัดเลือกและการเตรียมวัตถุดิบอาหารสัตว์
- การเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ เช่น หญ้าแห้ง ข้าวโพดบด มันสำปะหลัง และกากถั่วเหลือง
- การใช้แหล่งอาหารท้องถิ่น เช่น การนำเศษเหลือจากการเกษตร (เช่น เปลือกทุเรียน) มาผสมในอาหารสัตว์
- การประเมินคุณค่าทางโภชนาการของวัตถุดิบ
2. การปรุงและการจัดเก็บอาหารสัตว์
- การผสมอาหารแบบ Total Mixed Ration (TMR) เพื่อความสมดุลทางโภชนาการ
- การเก็บรักษาอาหารสัตว์ เช่น การทำหญ้าหมัก (Silage) และการป้องกันเชื้อราในอาหาร
3. การวางแผนการให้อาหารสัตว์
- การคำนวณสูตรอาหารตามความต้องการของสัตว์ในแต่ละช่วงอายุ
- การวางแผนการให้อาหารในรูปแบบประจำวันและระยะยาว
- ผลกระทบของโภชนาการต่อคุณภาพเนื้อ เช่น การเพิ่มระดับไขมันแทรกเนื้อ (Marbling)
ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง
1. ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักโภชนาการสัตว์และสามารถนำไปใช้ได้จริง
2. ผู้เรียนสามารถวางแผนและปรับปรุงสูตรอาหารสัตว์ให้เหมาะสมกับการผลิตเนื้อคุณภาพดี
3. ผู้เรียนสามารถจัดการอาหารสัตว์ในฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน
4. ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมในส่วนปฏิบัติการ เป็นการประเมินลักษณะโคและแพะในฟาร์มจริง โดยการตรวจสอบโครงสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อ และการประเมินคะแนนความสมบูรณ์ของร่างกาย (Body Condition Score - BCS)
การคัดเลือกลักษณะและพันุกรรมของโคและแพะที่สามารถผลิตเนื้อคุณภาพดี เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการด้านพันธุศาสตร์และลักษณะทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเนื้อคุณภาพดีในโคและแพะ และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการผลิตเนื้อในบริบทของสภาพภูมิศาสตร์และตลาด นอกจากนั้นเพื่อพัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติในการประเมินและคัดเลือกลักษณะพันธุกรรมและกายภาพของสัตว์ โดยมีเนื้อหาเนื้อหาหลักในส่วนทฤษฎี
1 พื้นฐานพันธุศาสตร์และพันธุกรรมสัตว์ เช่น ความเข้าใจเกี่ยวกับยีนและลักษณะเด่น-ลักษณะด้อยในสายพันธุ์โคและแพะ ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมกับคุณภาพเนื้อ เช่น การเติบโตเร็ว (Growth Rate) การสะสมไขมันระหว่างกล้ามเนื้อ (Marbling) ความนุ่มของเนื้อ (Tenderness)
2 ลักษณะสำคัญสำหรับการผลิตเนื้อคุณภาพดี เช่น ลักษณะกายภาพที่พึงประสงค์ เช่น โครงสร้างร่างกาย (Body Conformation) ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อ (Muscle Mass) ความหนาแน่นและปริมาณไขมันในเนื้อ (Fat Density) พฤติกรรมและสุขภาพที่ส่งผลต่อคุณภาพเนื้อ เช่น อัตราการกินอาหาร (Feed Conversion Ratio) และความต้านทานโรค
3 การปรับปรุงพันธุกรรม (Genetic Improvement) เช่น การคัดเลือกสายพันธุ์โคและแพะในพื้นที่ การใช้เทคโนโลยีทางพันธุศาสตร์ เช่น การตรวจสอบดีเอ็นเอ (DNA Testing) และการผสมเทียม (Artificial Insemination)
4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพเนื้อจากพันธุกรรมสู่การเลี้ยงดู เช่น การเลี้ยงดูที่เหมาะสมกับสายพันธุ์ และ ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมและอาหารต่อการแสดงออกของลักษณะพันธุกรรม
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการคัดเลือกลักษณะและพันุกรรมของโคและแพะ
1. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะทางพันธุกรรมที่มีผลต่อคุณภาพของเนื้อ เช่น ลักษณะของมวลกล้ามเนื้อ, การสะสมไขมัน, ความสามารถในการเจริญเติบโต, และความสามารถในการใช้พลังงานจากอาหาร
2. ผู้เรียนสามารถนำความรู้ดังกล่าวไปใช้ในการคัดเลือกโคและแพะที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ดี เช่น โคที่มีเนื้อแดงมากและมีมวลกล้ามเนื้อหนา หรือแพะที่มีไขมันแทรกในเนื้อที่ทำให้รสชาติเนื้อดี
3. ผู้เรียนเข้าใจเทคนิคการเพาะพันธุ์ที่สามารถใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ให้มีลักษณะตามต้องการ
4. ผู้เรียนเข้าใจการจัดการอาหารที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มคุณภาพเนื้อสัตว์ โดยจะได้เรียนรู้ถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของเนื้อ
5. ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของโคและแพะจะช่วยให้นักเรียนสามารถทำให้สัตว์เติบโตได้ดีและมีสุขภาพที่ดี
การจัดการสุขภาพสัตว์ในการผลิตสัตว์เนื้อคุณภาพสูง เป็นจัดการเรียนสอนที่มีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการจัดการสุขภาพสัตว์ในระบบการผลิตสัตว์เนื้อ และเพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติการในการจัดการสุขภาพสัตว์จริงในฟาร์ม นอกจากนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการผลิตสัตว์เนื้อคุณภาพสูงที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาในส่วนทฤษฎีคือ
1. พื้นฐานด้านสุขภาพสัตว์
2. การจัดการป้องกันโรค เช่นการป้องกันและควบคุมโรคที่พบบ่อยในสัตว์เนื้อ การให้วัคซีนและการบริหารจัดการยาสัตว์ และ ระบบการจัดการฟาร์มเพื่อลดความเสี่ยงในการระบาดของโรค
3. หลักการจัดการฟาร์มที่สอดคล้องกับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ การจัดการพื้นที่เลี้ยงสัตว์และความสะอาดในโรงเรือน และการส่งเสริมสุขภาพสัตว์เพื่อลดความเครียดและเพิ่มผลผลิต
กิจกรรมการเรียนการสอนในส่วนปฏิบัติ
1. ฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง เช่นการการวิเคราะห์สุขภาพสัตว์ และการตรวจร่างกายเบื้องต้น ตลอดจน การฝึกใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง เช่น การฉีดยา และการใช้ยาในสัตว์
2. การนำผู้เรียนไปศึกษาในฟาร์มจริงด้านการจัดการฟาร์มเพื่อลดโรคในสัตว์ เช่น การฆ่าเชื้อโรงเรือน การจัดการอาหารและน้ำสะอาด และการตรวจประเมินสุขภาพสัตว์ประจำวัน
การจัดการสุขภาพสัตว์เป็นกระบวนการที่สำคัญในการดูแลและป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในสัตว์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการผลิตและคุณภาพของเนื้อสัตว์ โดยมีหลักการและขั้นตอนที่สำคัญ
1. การป้องกันโรค
การฉีดวัคซีน การให้วัคซีนป้องกันโรคที่สำคัญ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ในสัตว์, โรคคอบิด เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ติดเชื้อหรือโรคที่สามารถแพร่ระบาดในฝูงได้ การป้องกันการติดเชื้อจากสัตว์ที่เข้ามาใหม่โดยการกักสัตว์ใหม่ไว้แยกจากฝูงหลักระยะหนึ่งเพื่อตรวจสุขภาพ
2. การตรวจสุขภาพ
การตรวจสภาพร่างกายประจำ ตรวจสุขภาพสัตว์อย่างสม่ำเสมอ โดยการตรวจดูพฤติกรรมและสภาพร่างกาย เช่น น้ำหนัก, สภาพขน, สภาพปาก และตา อีกทั้งยังมีการตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อหรือปัญหาทางสุขภาพสัตว์ และจะต้องมีการตรวจสอบโรคที่อาจเกิดขึ้น เช่น การตรวจหาภาวะติดเชื้อในทางเดินหายใจหรือทางเดินอาหาร
3. การดูแลโภชนาการ
การให้สารอาหารที่เหมาะสม: อาหารที่เหมาะสมและสมดุลเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพสัตว์ โดยต้องให้สารอาหารที่ครบถ้วน เช่น โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน, วิตามิน, และแร่ธาตุต่าง ๆ น้ำสะอาดตลอดเวลา เป็นการสนับสนุนให้สัตว์เจริญเติบโตและสุขภาพดี
4. การควบคุมสภาพแวดล้อม (Environmental Control)
การจัดการที่อยู่อาศัย: โรงเรือนต้องมีการระบายอากาศที่ดี มีความสะอาด ปราศจากเชื้อโรคและพยาธิ ควรทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่มาจากสิ่งแวดล้อม และจะต้องมีการจัดการสัตว์ไม่ให้เกิดความเครียดเกินไป เช่น การจัดการพื้นที่ให้สัตว์มีความสะดวกสบาย อีกทั้งการใช้ยาและเวชภัณฑ์ที่ปลอดภัยในสัตว์ต้องปฏิบัติตามหลักการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการสะสมสารตกค้างในเนื้อสัตว์ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค การเลือกยาอย่างเหมาะสม การใช้ยาในขนาดและระยะเวลาที่ถูกต้อง การเก็บรักษายาอย่างถูกวิธี รวมถึงการปฏิบัติตามระยะเวลาหยุดยาจะช่วยให้การใช้ยาในสัตว์เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
กิจกรรมปฐมนิเทศและต้อนรับนักศึกษา - กิจกรรมกล่าวต้อนรับและปฐมนิเทศ - กิจกรรมผู้บริหารพบปะนักศึกษา - กิจกรรมการแนะนำตัวและชี้แจงรายวิชาและตารางเรียน
กิจกรรมปฐมนิเทศและต้อนรับนักศึกษา - กิจกรรมกล่าวต้อนรับและปฐมนิเทศ - กิจกรรมผู้บริหารพบปะนักศึกษา - กิจกรรมการแนะนำตัวและชี้แจงรายวิชาและตารางเรียน